ไททันโนโบอา (Titanoboa) พญานาคา ดึกดำบรรพ์
มันเป็นนักล่าแห่งโลกดึกดำบรรพ์ที่น่าหวาดหวั่น ด้วยลำตัวที่สามารถยาวได้ถึงสิบห้าเมตรและน้ำหนักที่อาจมากเกือบหนึ่งตันครึ่ง ทำให้ไททันโนโบอากลายเป็นหนึ่งในสัตว์เลื้อยคลานที่น่าเกรงขามที่สุด เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในโลกใบนี้
โลกในยุคพาลีโอซีนตอนต้น เมื่อ 60 – 58 ล้านปีก่อน คือช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์ของไททันโนโบอาดำรงชีวิตอยู่ พวกมันเคยอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ โดยฟอสซิลของงูยักษ์ชนิดนี้ถูกขุดพบครั้งแรกในเหมืองถ่านหินเคอเรยอน ที่ ลา กูเอจิรา ประเทศโคลัมเบีย ซึ่งจากชิ้นส่วนของฟอสซิลที่ขุดพบ ประมาณการได้ว่า เมื่อยังมีชีวิต เจ้าของฟอสซิลนี้ มีความยาวถึง 12.8 เมตร และหนักราว 1,135 กิโลกรัม ซึ่งด้วยความใหญ่โตของมัน ทำให้มันถูกเรียกว่า ไททันโนโบอา ซึ่งแปลตรงตัวว่า งูหลามยักษ์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัตว์จำพวกงูจะมีการเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ จนตลอดชีวิตของมัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดว่า งูชนิดนี้อาจเติบโตจนมีความยาวได้ถึงสิบห้าเมตรและหนักเกินกว่า 1,500 กิโลกรัม ซึ่งนั่นจะทำให้มันเป็นนักล่าที่น่าเกรงขามที่สุดของอเมริกาใต้ในยุคนั้นและยังครองตำแหน่งงูที่ใหญ่ที่สุด ยาวที่สุดและหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกด้วย
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้งูยักษ์เกิดขึ้นมาได้นั้น ก็เนื่องมาจากสภาพอากาศในยุคพาลีโอซีนที่อบอุ่นขึ้นกว่าเดิม ทำให้สัตว์เลื้อยคลานสามารถเติบโตขยายขนาดจนกลายเป็นสัตว์ยักษ์ได้ โดยในยุคนี้ นอกจากงูยักษ์แล้ว ยังมีเต่ายักษ์ที่มีขนาดเท่ารถยนต์และจระเข้ยักษ์หลายชนิดที่ยาวถึงเจ็ดเมตร
ในยุคที่ไททันโนโบอาดำรงชีวิตอยู่ พื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้เป็นป่าดงดิบเหมือนเช่นป่าอเมซอนในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์คิดว่า งูยักษ์ชนิดนี้น่าจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในลำน้ำมากกว่าบนบก เนื่องด้วยน้ำจะช่วยพยุงขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของมันได้และยังทำให้สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถพรางตัวใต้น้ำยามที่จะล่าเหยื่อด้วย โดยเหยื่อของไททันโนโบอา ได้แก่ ปลาขนาดใหญ่และสัตว์ในกลุ่มจระเข้โบราณอย่าง เซอเรคอนนิซูคัส และอาคีรอนทีซูคัส ที่มีความยาวหกถึงเจ็ดเมตรและถือเป็นนักล่าที่น่าเกรงขามอีกพวกหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับ ไททันโนโบอาที่โตเต็มที่แล้ว พวกมันก็เป็นแค่อาหารคำโตเท่านั้น โดยนักวิทยาศาสตร์คิดว่า ไททันโนโบอาน่าจะล่าเหยื่อด้วยการซุ่มโจมตีและใช้ขากรรไกรที่ทรงพลังงับเหยื่อก่อนจะกลืนลงท้อง แทนการใช้ลำตัวรัดจนเหยื่อขาดใจแล้วจึงกลืนลงไปแบบงูอนาคอนดาและงูหลามในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้อุณหภูมิโลกเริ่มลดลง ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงและได้ส่งผลให้งูยักษ์กับสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ต้องสูญพันธุ์ไป อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ของทวีปอเมริกาใต้ เช่นตอนในของป่าดงดิบลุ่มแม่น้ำอเมซอน สภาพแวดล้อมยังคงเป็นดังที่เคยเป็นเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน จึงเป็นไปได้ว่า งูยักษ์อาจยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์ของมันและรอวันที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นได้