กรรม คืออะไร!!(อะไรทำให้เกิดกรรม)
โพสท์โดย Ahom
พระศาสดาทรงตรัสว่า กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ
นิยามของคำว่ากรรม ที่พระศาสดาทรงบัญญัติ คือ เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม
นิยามของคำว่ากรรม ที่พระศาสดาทรงบัญญัติ คือ เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม
กรรมอันบุคคลเจตนาแล้วย่อมกระทำด้วย กาย วาจา ใจ (ดังนั้นกรรมทางใด ที่กระทำโดยไม่เจตนา ย่อมไม่มี)
เหตุเป็นแดนเกิดของกรรม คือ ผัสสะ และ ความดับแห่งกรรม คือ การดับแห่งผัสสะ
[ผัสสะ (สัมผัส) อาศัยตาด้วย ๑ อาศัยรูปด้วย ๑ จึงเกิด จักขุวิญญาณ ๑ (เป็นต้น)
การถึงพร้อมด้วยธรรม ๓ ประการนี้ จึงเรียกว่า จักขุสัมผัส หรือ ผัสสะทางตา (เป็นต้น)]
มีทั้งหมดดังนี้
วิญญาณ ๖ อันได้แก่
จักขุวิญญาณ(รู้แจ้งทางตา)
โสตวิญญาณ(รู้แจ้งทางหู)
ฆานะวิญญาณ(รู้แจ้งทางจมูก)
ชิวหาวิญญาณ(รู้แจ้งทางลิ้น)
กายวิญญาณ(รู้แจ้งทางสัมผัสทางกาย)
มโนวิญญาณ(รู้แจ้งทางธรรมารมณ์-เวทนา สัญญา สังขาร)
โสตวิญญาณ(รู้แจ้งทางหู)
ฆานะวิญญาณ(รู้แจ้งทางจมูก)
ชิวหาวิญญาณ(รู้แจ้งทางลิ้น)
กายวิญญาณ(รู้แจ้งทางสัมผัสทางกาย)
มโนวิญญาณ(รู้แจ้งทางธรรมารมณ์-เวทนา สัญญา สังขาร)
วิญญาณใดนี้ ย่อมมีที่ตั้งอาศัย
การจะบัญญัติซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ของวิญญาณใดๆ
โดยเว้นจาก รูป(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส), เวทนา,สัญญา,สังขาร นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
วิญญาณ(ใด) อาศัยรูปตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์
มีรูปเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัย มีนันทิ(ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ได้
(สิ่งที่วิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย พระศาสดาทรงเรียกสิ่งนั้นว่า ภพ คือ สถานที่เกิดของวิญญาณ หรือ อารมณ์ เป็นที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร รวมเรียกภพเหล่านี้ว่า นามรูป เมื่อวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยในภพแล้ว กล่าวว่า ความมีภพได้เกิดขึ้น(ตอนที่วิญญาณยังไม่ได้เข้าไปตั้งอาศัย ภพ ก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ก็เรียกว่า สถานที่เกิดของวิญญาณ เท่านั้น แต่พอวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ ก็เรียกบัญญัติใหม่ว่า ความมีภพได้เกิดขึ้น)
นั้นคือวิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้มีอยู่ในที่ใดๆ
การก้าวลงแห่งนามรูป(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)ก็มีอยู่ในที่นั้นๆ
(วิญญาณย่อมตั้งอาศัยในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเมื่อมีความน้อมไปหาภพ(ใด)แล้ว)
เมื่อการก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด การเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น
การเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปย่อมมี
เมื่อบุคคลคิดถึงสิ่งใดอยู่ (เจตนา) ดำริถึงสิ่งใดอยู่
และมีใจฝังลงไปในสิ่งใดอยู่
สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณ
เมื่อวิญญาณตั้งขึ้นเฉพาะแล้ว การก้าวลงสู่ภพย่อมมี
และมีใจฝังลงไปในสิ่งใดอยู่
สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณ
เมื่อวิญญาณตั้งขึ้นเฉพาะแล้ว การก้าวลงสู่ภพย่อมมี
พระศาสดาทรงอุปมา
เมล็ดพืช เปรียบเหมือน วิญญาณ
ผืนนา เปรียบเหมือน ภพ
น้ำ เปรียบเหมือนนันทิและ ราคะ
เมื่อ เมล็ดพืช ตกลงไปบน ผืนนา
เปรียบเหมือนวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยใน ภพ
เมล็ดพืช เปรียบเหมือน วิญญาณ
ผืนนา เปรียบเหมือน ภพ
น้ำ เปรียบเหมือนนันทิและ ราคะ
เมื่อ เมล็ดพืช ตกลงไปบน ผืนนา
เปรียบเหมือนวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยใน ภพ
เมล็ดพืชย่อมถึงความเจริญงอกงามได้ด้วยน้ำ
เปรียบเหมือนวิญญาณเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ด้วยความกำหนัดและความเพลิน
ส่วนอีกอุปมาหนึ่ง เมล็ดพืช เปรียบเหมือนวิญญาณ
เนื้อนาเปรียบเหมือน กรรม
ยางในเมล็ดพืชเปรียบเหมือนตัณหา
เมล็ดพืชตกลงไปบนเนื้อนา
เปรียบได้กับวิญญาณตั้งอาศัยอยู่ในกรรม
เมล็ดพืชถึงความเจริญงามไพบูลย์ได้ด้วยยางในเมล็ดพืช
เปรียบเหมือนกับตัณหาเป็นเชื้อแห่งการเกิดขึ้น(ใหม่) ชื่อว่าความมีภพเกิดขึ้น
ดังนั้น กรรม อันเป็นที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ ก็คือ ภพ อันเป็นที่ที่วิญญาณตั้งอาศัยอยู่ได้ (กรรม = ภพ)
เช่น ตาไปเห็นรูป วิญญาณทางตาเข้าไปเกลือกกลั้วอยู่ในรูป อันเป็นวิสัยที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยตาแล้ว กล่าวว่า
วิญญาณอาศัยรูปตั้งอยู่ รูปคือภพของวิญญาณ และ การเกิดขึ้นใหม่ของภพ
ชื่อว่ากรรม(ใหม่)ได้เกิดขึ้นแล้ว
กรรม นั้นแบ่งได้เป็น
กรรมเก่า อันได้แก่ ตา หุ จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นกรรมเก่า
เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งได้ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้
กรรมใหม่ อันได้แก่ ผัสสะ เป็นเหตุเกิดของกรรมใหม่
การประจวบพร้อมด้วยองค์ ๓ นี้เรียกว่า ผัสสะ เช่น
ตา ไป เห็น รูป หากจักขุวิญญาณ(เข้าไปตั้งอาศัย) เข้าไปเกลือกกลั้วอยู่ในรูป
อันเป็นวิสัยที่จะรู้ได้ด้วยตาแล้ว ผัสสะทางตาย่อมถึงการเกิดขึ้น
(มีกรณีที่ ตา มอง รูป แต่ วิญญาณ( จิต หรือ มโน) ไม่ได้เข้าไปอยู่ในคลองแห่งจักขุ
ผัสสะย่อมไม่เกิด การหมายรู้ทางตาไม่มี(ขาดจักขุวิญญาณ) จึงไม่ถึงการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๓ )
อธิบายโดยปฏิจสมุปบาท
เพราะมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา
เพราะมีเวทนา จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหา จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน จึงมีภพ (กรรม)
เพราะมีภพ ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมี
ดังนั้น การปรากฏแห่งวิญญาณ(ใด) มีใดที่ใด
ชื่อว่าการปรากฏแห่งภพ (กรรม) ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมีในที่นั้นความดับไปแห่งกรรม มีได้เพราะความดับไปแห่งผัสสะ
(ได้แก่ สังขารทั้งหลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
เพราะมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา
เพราะมีเวทนา จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหา จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน จึงมีภพ (กรรม)
เพราะมีภพ ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมี
ดังนั้น การปรากฏแห่งวิญญาณ(ใด) มีใดที่ใด
ชื่อว่าการปรากฏแห่งภพ (กรรม) ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมีในที่นั้น
ความดับไปแห่งกรรม มีได้เพราะความดับไปแห่งผัสสะ
พิจารณาการเกิดขึ้นแห่งผัสสะอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพย่อมมีเพราะ
อาศัยการน้อมไปแห่งวิญญาณ
ด้วยอาศัยตัณหานี้ใด อันทำความเกิดใหม่ให้เป็นปกติ
เป็นไปกันกับด้วยความกำหนัด(ราคะ) เพราะความเพลิน(นันทิ) มักเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์ (ภพ-กรรม)
นี้เป็นเครื่องเข้าไปตั้งอาศัย เครื่องถึงทับ เป็นอนุสัยแห่งจิต
ที่เข้าไปมีอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร อันเป็นภพ(กรรม) ของจิต(วิญญาณ)
หากจะดับกรรม คือ ภพอันทำความเกิดใหม่
ก็ต้องดับที่ผัสสะ คือเหตุเกิดของกรรม
เธอย่อมกระจายเสียให้ถูกวิธี
พระศาสดาจึงทรงให้กระจายเสียซึ่งผัสสะ
ให้พิจารณาเห็นถึงองค์ประกอบทั้ง ๓ นั้น
อาศัยกันและกันในการเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์(ดับลงไปได้) ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
สิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเป็นผัสสะเป็นของที่ไม่เที่ยง
แล้วผัสสะจะเป็นของเที่ยงแต่ไหน
และสิ่งที่เป็นผลตามมาจากผัสสะเป็นปัจจัยก็ย่อมเป็นของไม่เที่ยง
มรรควิธี
ดังนั้นการพิจาณาสิ่งที่ประจวบกันพร้อมเป็นผัสสะ
(ได้แก่ สังขารทั้งหลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนนั้น
จะต้องเป็นผู้ที่เห็นซึ่งอริยสัจ ๔ คือ
เห็นการเกิดขึ้น และดับไปของสังขารทั้งหลาย เช่น
เห็นความเกิดและดับของ
ในจักษุ
ในจักขุวิญญาณ
ในธรรมที่รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ
เมื่อเห็นตรงตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้ว จึงพิจารณาเห็น
จักษุ
จักขุวิญญาณ
และธรรมที่รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ปฏิปทานี้เป็นความดับไม่เหลือซึ่งสักกายะ(คืออุปาทานในขันธ์ทั้งหลาย)
เพราะความสิ้นไปแห่งความเพลิน จึงมีความสิ้นไปแห่งอุปาทาน
เมื่อเห็นด้วยปัญญา ตรงตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้ว
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ มีอยู่ประมาณเท่าไร
ย่อมไม่มั่นหมายซึ่ง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ นั้น
ย่อมไม่มั่นหมายใน ขันธ์ ธาตุอายตนะนั้น
ย่อมไม่มั่นหมายโดยความเป็น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ นั้น
และย่อมไม่มั่นหมาย ขันธ์ ธาตุ อายตนะนั้น ว่าของเรา
นี้เป็นปฏิปทาเพื่อเพิกถอนความมั่นหมายในสิ่งทั้งปวง
เมื่อ ราคะ ที่มีอยู่ใน รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ อันบุคคลละได้แล้ว
วิญญาณย่อมไม่มีที่ตั้งอาศัย ก็ไม่เจริญงอกงาม
ดับลงไปได้เพราะไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
เมื่อวิญญาณไม่มีอยุ่ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปย่อมดับไปในที่นั้น
ที่ใดที่ไม่มีวิญญาณและนามรูป ที่นั้นคือความดับไม่เหลือแห่งสังขารทั้งหลาย
เป็นความดับไปไม่เหลือแห่งทุกข์
จะป่วยกล่าวไปใยถึงการดับแห่งกรรม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สรุป
พระพุทธเจ้ากล่าวว่ากรรมจะเกิดได้ต้อง มีเจตนา
ถ้าไม่ได้เจตนากรรมก็ไม่เกิด
กรรมเกิดจากผัสสะ(สัมผัส)
ทางอายตนทั้ง6 ได้แก่
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อได้สัมผัสนั้นๆย่อมมีวิญญาณรับรู้รวมแล้วเรียกเป็นสฬายตน12
และจะดับกรรมลงได้คือการดับที่ผัสสะ(สัมผัส)
เช่น เมื่อใจคิดอกุศล นั่นกรรมเริ่มตั้งในภพแล้ว
เช่น เมื่อใจคิดอกุศล นั่นกรรมเริ่มตั้งในภพแล้ว
ถ้าเรารู้ทัน ก็ให้รีบดับโดยการดึงไม่ให้คิดต่อ
นั่นแหละคือการดับผัสสะไม่ให้ภพเกิดจนครบรอบ
มิเช่นนั้น ถ้าภพเกิดและดำเนินต่อก็ย่อมมีการตายและวนไปอย่างนี้ไม่รู้จบ
อละถ้ากายสังขารดับลงขณะนั้น จิตหรือวิญญาณย่อมไปเกาะภพใหม่ที่จิตได้คิดก่อนตาย
การ วนเวียนไม่รู้จบจึงมีต่อ เพราะ ความไม่รู้ ในวิชา
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
VOTED: Chawap, ซาอิ, plangchompoo, iKao, สบู่, นางเบิร์ด, ginger bread
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568ชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสียน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่นเชน ธนา การเงินวิกฤตหนัก ตัดใจประกาศขายออฟฟิศ 3 ตึก ราคารวมเกือบร้อยล้านคนดูยังท้อ!! หนุ่มทำคอนเทนต์ตามล่า “ ช็อกโกแลตดูไบ” ในเซเว่น หาทั้งจังหวัด 23 สาขา ก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายได้ลองสมใจHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
น้องเต้าหู้แจกไข่ให้ชาวบ้าน แต่กลับเจอมนุษย์ป้ารุมเข้ามาจัดการ ทำเอาน้องอึ้งจนพูดไม่ออก เห็นแล้วรู้สึกอายแทนจริงๆน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่น