Film Review : Life Is Beautiful มองชีวิตอย่างคนคิดบวก
หากพูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิต ถือเป็นเรื่องที่แต่ละคนต่างมีมุมมองที่แตกต่างและหลากหลายมากอีกเรื่องหนึ่ง บ้างมองทุกอย่างติดลบไปหมด บ้างก็มองอย่างเป็นกลาง ไม่ขาวไม่ดำจนเกินไป แล้วการใช้ชีวิตให้มีความสุข มองโลกใบนี้บนพื้นฐานของความเป็นจริง มันมีอยู่จริงหรือเปล่านะ
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านๆ มา งานค่อนข้างเยอะจนไม่มีเวลาไปเหยียบโรงภาพยนตร์เลย แต่ด้วยความชอบส่วนตัวเราก็ไม่เคยลืมที่จะนอนตีพุงดูหนังอยู่ที่บ้าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหลือบไปเห็นหนังกองโตที่ยังไม่มีเวลาได้ดู หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง Life Is Beautiful สุดยอดหนังคลาสสิคขึ้นหิ้งอีกหนึ่งเรื่อง พอมีโอกาสได้ดูจนจบ เราก็ไม่อยากพลาดที่จะนำมาแบ่งปันให้ชาว UNLOCKMEN ได้หามาดูตามๆ กัน
Life is beautiful(1997) ชื่อไทย “ยิ้มไว้โลกนี้ไม่สิ้นหวัง” หนังสัญชาติอิตาเลียน ของผู้กำกับโรแบร์โต เบนิญี่ที่ร่วมแสดงเองด้วย หนังว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มชาวยิวที่อาศัยอยู่ในอิตาลีในปี 1939 นามว่า ‘กุยโด’ (โรแบร์โต เบนิญี่) ชายหนุ่มที่แสนจะร่าเริง รวยอารมณ์ขันและมองโลกในแง่ดี ผู้มีความใฝ่ฝันจะเปิดร้านหนังสือเป็นของตัวเอง เขาตกหลุมรักกับครูสาวสวยนามว่า ‘ดอร่า’ (นิโคเล็ตต้า บลานชี่) และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พร้อมกับมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหนึ่งคนนามว่า ‘โจชัว’ (จิออร์จิโอ แคนทารินี่) และได้สานฝันเปิดร้านหนังสือสมใจอยาก ฟังดูดี และดูเหมือนจะจบเพียงเท่านี้ แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลก กุยโด โจชัว และลุงของเขาถูกทหารจับตัวไปยังค่ายกักกัน เนื่องจากทั้งสามเป็นยิว (เรื่องราวเกิดขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)
ในช่วงแรกหนังพาเราไปพบกับจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของกุยโด และดอร่า ที่มันดูแล้วช่างรื่นเริงใจและน่ารักสะเหลือเกิน หนังก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเกิดสงคราม เหมือนมีใครแอบเปลี่ยนหนังอีกม้วนหนึ่งมาให้ดูแบบเนียนๆ เพราะหนังเริ่มเข้าสู่โหมดเศร้า และเริ่มแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามภายใต้การนำของเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ ที่ต้องการจะกวาดล้างชาวยิวให้หมดสิ้น จุดน่าสนใจภายในหนังเราจะเห็นว่าร้านค้าต่างๆ จะเขียนป้ายว่าห้ามชาวยิวเข้า แต่ด้วยอารมณ์ขันของกุยโด เขาเขียนไว้ที่ร้านของตนว่า’ร้านของชาวยิว’ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดบวกของตัวเขาเอง พอเริ่มเข้าสู่ช่วงสงคราม กุยโด โจชัว และคุณลุงผู้น่าสงสารถูกจับตัวไปค่ายกักกัน และด้วยความรักที่ดอร่ามีให้กับครอบครัว เธอขอให้ทหารพาเธอไปยังค่ายกักกันด้วยทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เป็นชาวยิว ฉากนั้นเป็นนาทีที่แสดงถึงความรัก และความเด็ดเดี่ยวของเธอได้เป็นอย่างดี สีของหนังในโทนเทาๆ จืดๆ ให้ความรู้สึกหม่นหมอง และอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
แต่หากเทียบบรรยากาศและความโหดร้ายของหนังเรื่องนี้กับหนังแนวๆ เดียวกัน อย่าง The Pianist หรือ The boy in the striped pajamas ที่จะเน้นไปถึงความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระแทกจิตใจคนดูอย่างเราๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ใน Life Is Beautiful นั้นแตกต่างออกไป หนังจะเน้นไปในเรื่องของการปกป้องลูกชายสุดที่รักด้วยการมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เรียกว่าจุดประสงค์หลักๆ ของหนังนั้นเน้นไปที่การมองโลกในแง่ดีอย่างสวยงาม อีกหนึ่งซีนที่เราชื่นชอบมากๆ ก็คือหลังจากกุยโด และโจชัวได้ไปถึงค่ายกักกัน กุยโดได้บอกลูกชายตัวเองว่าเขาและลูกถูกจับมาที่ค่ายกักกันก็เพื่อเล่นเกมชิงรถถัง ใครที่เป็นฝ่ายอยู่รอดและสามารถทำคะแนนได้เยอะที่สุดจะได้รถถังเป็นรางวัลกลับไป เมื่อหนึ่งดำเนินมาถึงช่วงนี้เราประทับใจฉากที่กุยโด ออกไปเป็นล่ามแปลภาษาเยอรมันให้กับลูก และคนในค่ายฟัง เขาแปลให้กลายเป็นเรื่องของเกมชิงรถถังไปเสียหมด ซึ่งทำให้กุยโดต้องรับบทแก้สถานการณ์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อบอกให้เจ้าลูกชายสุดรักเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่เกมชิงรถถังเท่านั้นนะเจ้าโจชัว
เราเข้าใจถึงการกระทำของกุยโดนะว่าเขาต้องการให้ลูกหมดความวิตกกังวลใจ โจชัวก็ช่างเป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นพ่อเสมอ อีกนัยหนึ่งของการกระทำนี้เราว่าผู้กำกับก็ตั้งใจที่จะส่งเสริมและนำเสนอถึงความฉลาดของชาวยิวเช่นกัน กุยโดทำอยู่เช่นนั้นเรื่อยๆ จนหนังมาถึงวาระสุดท้าย เขาก็ยังสวมบทเป็นฮีโร่ผู้ทำให้ลูกชายหลุดพ้นค่ายกักกันแห่งนี้ไปได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังโบกมือลาลูกชายด้วยรอยยิ้มเช่นเคย โจชัวได้พบกับดอร่า และทั้งคู่ก็พูดซ้ำๆ ว่า “เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว” ชัยชนะนั้นมันไม่น่าจะใช่รถถังหรอก แต่มันคือการได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมากกว่า อยากจะบอกว่าเรื่องราวในตอนหลังมันกระแทกจิตใจคนดูอย่างเรามากเหลือเกิน จนต้องออกปากดังๆ ว่า ‘นี่พี่จะให้ความหวังหนูทำไมเนี่ย!!’
หนังจบเรากลับมานึกถึงเรื่องของการมองโลกในแง่ดี ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะเหมือนการหลอกตัวเอง แต่เราเชื่อว่าการกระทำของกุยโดมันคือการหลอกตัวเองบนพื้นฐานของความเป็นจริง มันคงไม่ผิดหรอกที่บางเรื่องเราอาจจะหลอกตัวเองไปบ้าง แต่มันก็เพื่อความสุขในชีวิตและเพื่อคนรอบข้าง และแน่นอนคนที่หลอกตัวเองตลอดเวลา เขาก็ไม่อาจมีความสุขได้เช่นกัน มองย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรก เราจึงมองว่าการใช้ชีวิตมันไม่มีแบบแผนหรือรูปแบบที่ตายตัว การไปห้ามคนอื่นให้คิด หรือดำเนินชีวิตเหมือนกับที่เรามองว่าดี มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเช่นเดียวกัน เราอาจจะต้องมองโลกให้มันเป็นสีเทาๆ ตุ่นๆ เหมือนในหนัง แล้วหาความสวยงามให้กับเรื่องร้ายๆ ในชีวิตของเราบ้างก็ไม่น่าจะผิดอะไร และหวังว่าทุกคนจะลองเปิดใจให้กับหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน