หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

วิธีรู้ล่วงหน้า ก่อนรถเสีย

โพสท์โดย asnbroker
วิธีรู้ล่วงหน้า ก่อนรถเสีย

วิธีรู้ล่วงหน้า ก่อนรถเสีย


              มีคนสงสัยว่าเราจะมีโอกาสรู้กันล่วงหน้าก่อนรถจะเสียได้หรือไม่โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอดูมาผูกดวงทายอนาคต ก็ต้องตอบว่า “ได้” แต่ก็คงจะไม่ทุกเรื่องไป ASN Broker(ประกันภัยรถยนต์) จึงอยากนำเสนอข้อมูลวิธีในการตรวจเช็ค และดูแล รถยนต์ยานพาหนะ ที่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

 

                ส่วนใหญ่แล้วพวกรถที่มีเรื่องเกิดการเสียหายขึ้นมา มักออกอาการหรือมีการเตือนล่วงหน้า เพียงแต่ว่าเราจะรู้หรือไม่เท่านั้นเอง ว่านี่เป็นการบ่งบอก... “ชั้นกำลังจะแย่แล้วนะ” สมควรพาไปหาหมอ...เอ๊ย...ไปเจอช่างได้แล้ว ก่อนที่จะไปหมดลมสิ้นสติกลางทาง

 

                เครื่องยนต์

 

                อย่างแรกคงต้องพูดกันถึงเรื่องเครื่องยนต์ เนื่องจากมันเป็นตัวสร้างพลังในการขับเคลื่อนถ้าสตาร์ทไม่ติดเครื่องยนต์ดับ เร่งไม่ขึ้น หรือวิ่งชักกระตุกคงไม่ดีนัก โดยเฉพาะอีตอนเครื่องดับแล้วสตาร์ทไม่ติด ช่วงการจราจรติดขัด สามารถสร้างความปวดหัวให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของได้มาก

 

 

                สตาร์ทแล้วขี้เกียจ

 

                โอกาสที่เครื่องยนต์จะน็อคไปเฉย ๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนนั้น มันมีทางเป็นไปได้แต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะมีการแสดงอาการให้รับรู้กันไว้ก่อน เราต้องหมั่นสังเกตและเอาใจใส่อาการของรถ เช่น สตาร์ทยากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์สตาร์ทไม่ค่อนหมุน อันนี้อาจเกิดปัญหากับตัวแบตเตอรี่ หรือมอเตอร์สตาร์ทหมุนดีแต่ต้องสตาร์ทกันยาวกว่าเคย แบบนี้ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจน่าจะลองขับรถไปให้ช่างตรวจเช็คซักหน่อย สาเหตุมันอาจเกิดขึ้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น  องศาไฟจุดระเบิดไม่ถูกต้อง ระบบจุดระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับระบบจ่ายเชื้อเพลิง

 

                สำหรับการตรวจเช็คง่าย ๆ ว่าเป็นที่ระบบจุดระเบิดหรือไม่ ถ้าพอมีฝีมือทางช่างติดปลายนิ้วอยู่บ้าง อาจทดสอบโดยการจี้สายหัวเทียนลงเดินทดสอบประกายไฟ ในกรณีที่มีประกายไฟสมบูรณ์และแน่ใจว่าหัวเทียนไม่มีปัญหา อายุการใช้งานไม่นานมากนัก ก็น่าจะเป็นที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ซึ่งมีปัญหาสองประการ คือ จ่ายเชื้อเพลิงมากเกินไป ทำให้หัวเทียนบอดไม่สามารถจุดประกายไฟได้ และเกิดขึ้นจากจ่ายเชื้อเพลิงน้อย อัตราส่วนผสมบางจนไม่เพียงพอต่อการจุดระเบิด หรือทำให้เกิดอาการสตาร์ทติดยาก ส่วนจะเป็นที่น้ำมันจ่ายมาหรือน้อยเกินไปนั้นเราพอจะตรวจเช็คกันได้ง่าย ๆ โดยให้ใครลองสตาร์ทเครื่องแล้วลงมายืนอยู่ท้ายรถ คอยสังเกตจากกลิ่นของไอเสียขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าพบว่าไอเสียมีกลิ่นเหม็นของน้ำมันคละคลุ้ง แสดงว่าจากน้ำมันมากจนหัวเทียนบอด และกรณีที่ไม่ได้กลิ่นน้ำมันเลย เป็นการแสดงว่าน้ำมันจ่ายน้อยเกินไป

 

                เบาแล้วยุกยิก

 

                ทั่วไปแล้วเครื่องยนต์เค้าออกแบบมาให้สามารถเดินเบาได้อย่างราบเรียบ ด้วยเหตุนี้ถ้าพบว่าช่วงเดินเบาเครื่องยนต์ไม่นิ่งเท่าที่ควร รองบเครื่องขยับไปมาไม่อยู่เฉยเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ หรือรอบเครื่องเดินเบาตกต่ำกว่าปกติ อีแบบนี้ย่อมมีปัญหาแน่นอน สมควรที่จะนำรถไปให้ช่างเค้าตรวจเช็คดู เพราะแสดงว่ามันไม่ชอบพามากลซะแล้ว แต่ก่อนที่จะเสียกะตังค์ให้ช่าง ลองตรวจเช็คระบบพื้นฐานกันก่อน เช่น ไส้กรองอากาศสกปรกมีการอุดตันหรือเปล่า เจ้าของรถบางท่านไม่ชอบเปลี่ยนไส้กรองอากาศเล่นเป่ากันลูกเดียว ถ้าไส้กรองมีอายุการใช้งานมานาน การเป่าก็ไม่สามารถทำให้ไส้กรองปลอดโปร่งโล่งจมูกได้ แม้จะดูด้วยสายตาว่าสะอาดดีก็ตาม พวกฝุ่นผงจะเข้าไปซุกตัวซ่อนอยู่ข้างในเนื้อกระดาษกรอง ปิดกั้นทางเดินของอากาศเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกไส้กรองชุบน้ำยานั้นเค้าห้ามเป่าทำความสะอาด เนื่องจากยิ่งเป่ายิ่งทำให้อุดตัน ถ้าสกปรกก็เปลี่ยนกันลูกเดียว หรืออาจจะใช้วิธีเคาะทำความสะอาดได้บ้าง ในกรณีที่อายุการใช้งานยังไม่เยอะเท่าไหร่นัก

 

 

 

                เร่งไม่ลื่นหรือมีอาการสะดุด

 

                เมื่อพบว่าเครื่องยนต์เร่งได้ไม่ลื่นเหมือนเคย แถมยังมีอาการสะดุดในบางจังหวะแสดงให้รับทราบว่าเครื่องยนต์มีการผิดปกติ อาการเหล่านี้อาจจะเกิดเป็นประจำหรือนาน ๆ ครั้งก็ตาม สมควรจะเอารถไปให้ช่างลง

 

มือตรวจเช็ค ก่อนที่อาการจะหนักหนาสาหัสถึงขั้นไม่ยอมวิ่ง จะช้าจะเร็วมันก็ต้องลงมืออยู่แล้ว รีบจัดการโดยเร็วดีกว่า เดี๋ยวรถเกิดไปเสียกลางทางจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ คราวนี้แทนที่จะแค่ขับรถเข้าอู่อาจต้องเปลี่ยนเป็นลากเข้าอู่แทน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มซะเปล่า ๆ

 

                ตรวจเช็คจากน้ำมันเครื่อง

 

                การตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องไม่ใช้เพียงแค่ดูว่ามีน้ำมันเครื่องหรือไม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราสามารถดูอาการของเครื่องยนต์ และปกป้องอาการเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต เพียงแค่เพิ่มรายละเอียดในการตรวจเช็คอีกนิดหน่อยเท่านั้นเองตามความเป็นจริงทั่วไปสำหรับรถที่มีสุขภาพดีระดับน้ำเครื่องมักจะไม่ขาด กว่าจะลดระดับลงมาถึงขีดล่าง ก็มักจะถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกันแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเติมเพิ่ม ยกเว้นมีการใช้งานหนัก หรือมีการเดินทางต่างจังหวัดด้วยความเร็วสูง อันเป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องร้อนและเกิดการระเหยตัวมากกว่าปกติ ตรงนี้อาจทำให้น้ำมันเครื่องลดระดับลงไปได้ และถึงแม้วัดกี่ครั้งน้ำมันเครื่องยังอยู่ในระดับที่ถูกต้อง เราก็จำเป็นต้องทำการตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องกันเป็นประจำ

 

                วิธีตรวจเช็ควัดระดับของน้ำมันเครื่อง ตัวรถต้องอยู่ในแนวระดับเดียวกัน ไม่ใช่เอียงหน้าเอียงหลังหรือตะแคงข้างอันใด และควรทำการตรวจเช็คหลังจากปิดสวิทซ์ดับเครื่องยนต์แล้วอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่ดับเครื่องปุ๊บตรวจปั๊บแบบเด็กปั๊มที่ให้บริการตามปั๊มน้ำมันแบบนั้นวัดเท่าไหร่ก็ขาด เพราะน้ำมันเครื่องยังค้างอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ

 

                ระดับน้ำมันที่ถูกต้อง ควรจะอยู่ระหว่างขีดบนกับขีดล่างของเหล็กวัด คือ ถ้าอยู่ในระหว่าง 2 ขีดนี้ถือว่าเป็นอันใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปแตะอยู่ที่ขีดบนเพียงอย่างเดียว โดยทั่วไปน้ำมันเครื่องระหว่างขีดบนกับขีดล่างจะมีประมาณ 1 ลิตร

 

                เคยเจออยู่หลายคนที่ชอบเติมน้ำมันเครื่องเกินกำหนด เช่น พวกรถที่เครื่องยนต์ไม่สู้ดีเริ่มหลวม หรือรถที่ใช้เดินทางต่างจังหวัด โดยอ้างว่าเป็นการเติมเผื่อเอาไว้ บางคนอาจคิดว่าในการเติมน้ำมันเครื่องเกินนิดเกินหน่อยไม่เป็นไรอันที่จริงแล้วปริมาณน้ำมันเครื่องที่เกินนั้นได้ผลร้ายต่อเครื่องยนต์มากมาย และอาจรุนแรงถึงระดับเครื่องยนต์เสียหายได้เลยทีเดียว เพราะจำนวนน้ำมันที่เพิ่มจะไปกระแทกกับข้อเหวี่ยงทำให้เครื่องยนต์เกิดแรงต้านทาน เครื่องยนต์ร้อนกว่าปกติ อัราเร่งลดลง และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น แรงกระแทกของข้อเหวี่ยงหรือก้านสูบงอ และจากการที่ข้อเหวี่ยงไปตีกับน้ำมันเครื่องจะทำให้เกิดเป็นฟองอากาศ ถ้าเครื่องยนต์ดูดเจ้าฟองอากาศเข้าไปหล่อลื่นชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ หมายความว่าช่วงนั้นจะขาดน้ำมันในการหล่อลื่นกลายเป็นอากาศแทน ทำให้ชิ้นส่วนเกิดการสึกหรอเร็วกว่าธรรมดา หรืออาจถึงระดับชำรุดเสียหายเลยก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าตรวจพบว่าน้ำมันเครื่องเกินขีดกำหนด ควรทำการแก้ไขโดยเร็วไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

 

                น้ำมันเครื่องพร่องเร็วเกินควร ในกรณีที่มีการใช้งานปกติ ไม่ได้ใช้งานหนักหรือขับด้วยความเร็วสูงในการเดินทาง และไม่พบว่ามีควันขาวออกมาทางปลายท่อไอเสียเมื่อใช้รอบเครื่องยนเกินกว่า 2,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป เป็นการบอกให้ทราบว่ามีการรั่วไหลในระบบหล่อลื่นเกิดขึ้นแล้ว ให้รีบตรวจเช็คดู จุดที่เป็นเรื่องมักเกิดขึ้นแถวปะเก็นฝาครอบวาล์ว ปะเก็นอ่างน้ำมันเครื่อง สกรูว์ตัวถ่ายน้ำเครื่อง และซีลหน้าเครื่อง โดยสังเกตได้จากร่องรอยสกปรกตามจุดที่รั่ว หรือรอยหยดของน้ำมันเครื่องบนพื้น แต่ถ้าไม่เจอรอยสกปรกและรอยหยอบนพื้น จุดรั่วมักเกิดขึ้นที่ตัวซีลหลังเครื่อง หรือประเก็นฝาสูบแตกแล้วน้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปปนในระบบน้ำหล่อเย็น

 

                ละอองน้ำบนเหล็กวัดน้ำมันเครื่อง  มักปรากฏให้เห็นเมื่อมีความชื้นเกิดขึ้นในอ่างน้ำมันเครื่อง โดยเกิดขึ้นหลังจากการขับรถลุยน้ำ ด้วยเหตุนี้หลังจากมีรายการขับรถลุยน้ำฝ่าฝน จึงควรตรวจดูเช็คระดับน้ำมันเครื่อง และสังเกตว่ามีละอองน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่ที่ก้านเหล็กวัดหรือเปล่า และถ้าระดับสาหัสมีน้ำเข้าไปปะปนกับน้ำมันเครื่องเป็นจำนวนมาก น้ำมันเครื่องที่ติดปลายเหล็กวัดมาจะเปลี่ยนสีเป็นสีของกาแฟใส่นม แบบนี้ต้องรีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองโดยเร็วที่สุด ก่อนเครื่องยนต์จะเกิดการเสียหาย

 

                คุณภาพของน้ำมันเครื่อง  เราก็พอจะดูได้จากอีตอนตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องนี่แหละ ถ้าพบว่ามีฟองอากาศเกาะอยู่ที่เหล็กวัดน้ำมันเครื่อง แสดงว่าอาจเป็นน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพ หรือน้ำมันเครื่องปลอมปน เพราะในน้ำมันเครื่องเค้าจะใส่สารป้องกันการเกิดฟองเอาไว้ เป็นการป้องกันไม่ให้มีการดูดเอาฟองอากาศไปหล่อลื่นชิ้นส่วนแทนน้ำมันเครื่อง เมื่อพบว่ามีฟองอากาศให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง อย่าปล่อยเอาไว้หรือเกิดความเสียดายแม้จะเพิ่งเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาก็ตาม เมื่อเทียบกับความสึกหรอหรือเครื่องยนต์เสียหายแล้วมันไม่คุ้ม และให้สังเกตสีของน้ำมันเครื่องที่ปลายเหล็กวัด ถ้าพบว่าเปลี่ยนสีเป็นสีดำหรือเข้มขึ้นอันนี้น่าจะแปลว่า น้ำมันมีคุณภาพสูง จากคุณสมบัติของสารซะล้างที่เค้าใส่ไว้ในน้ำมันเครื่อง พวกใช้เท่าไหร่น้ำมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนสียังคงใสสะอาดเหมือนเพิ่งเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาเมื่อวานซืน แบบนี้กลับน่ากลัวกว่า เพราะอาจเป็นน้ำมันเครื่องปลอมซึ่งไม่มีสารเพิ่มคุณภาพในการซะล้างเขม่าก็ได้

 

                สิ่งปะปนในน้ำมันเครื่อง  บ่งบอกให้ทราบว่าไส้กรองน้ำมันเครื่องมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้เวลาที่ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องควรยอมมือเปื้อนเล็กน้อยโดยการลองขยี้น้ำมันเครื่องที่ติดปลายเหล็กไม้วัด ตามปกติควรจะรู้สึกเหมือนมีเฉพาะฟิล์มน้ำมันไม่มีสิ่งใดเจือปน แต่ถ้าพบว่ามีลักษณะสากเหมือนมีฝุ่นผงปะปนอยู่แสดงว่ามีปัญหากับไส้กรองน้ำมันเครื่องแล้วโดยเฉพาะผู้ที่นิยมใช้น้ำมันเครื่องกันนานกว่าจะเปลี่ยนถ่าย ควรใส่ใจกันเป็นพิเศษ เพราะไส้กรองน้ำมันเครื่องอาจมีอายุการใช้งานไม่นานเท่าหรืออาจไปเจอไส้กรองคุณภาพต่ำ

 
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
asnbroker's profile


โพสท์โดย: asnbroker
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (4/5 จาก 5 คน)
VOTED: เต่าตัวน้อย, แสร์, ginger bread, ยูรูส วิลลิส, ConanKung
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 25683 ขั้นตอน จัดบ้านรับปีใหม่ เสริมสิริมงคล ให้ปัง ตลอดทั้งปีน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่น
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เฮ! เงินไร่ละพันยังมาต่อเนื่อง! ชาวนารับเงินช่วยเหลือ ธ.ก.ส. กันอยู่หรือเปล่า? มาอัปเดตกันหน่อย!รีบมา! คืนนี้วันสุดท้ายแล้ว "ตำรวจตกน้ำ" ไวรัลสุดเสียวกาชาด 2567 หล่อ เปียก ฮา พุ่งกระจาย!
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
วิธีล้างผักให้สะอาดปราศจากสารพิษตกค้างจริงไหมที่คำว่า ‘Salary’ มาจาก ‘Salt’ เพราะทหารโรมันรับค่าจ้างเป็นเกลือ?อยากโกอินเตอร์? เจาะลึกวิธีหางานต่างประเทศ 2567 แบบถูกกฎหมาย ได้สิทธิเต็มที่ ไม่มีโดนหลอก!ชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสีย
ตั้งกระทู้ใหม่