เงิน 1 ล้าน ใน 11 ปี กับการลงทุนที่ไม่ได้เป็นตัวเงิน และความผิดพลาดที่อยากแชร์เป็นตัวอย่างครับ
กระทู้นี้ก็สืบเนื่องมาจาก เห็นว่าปัจจุบันจะมีคนมาบอกเล่าความสำเร็จในการเก็บเงิน 1 ล้านได้ภายในกี่ปีๆ ผมเลยอยากจะแชร์ให้ฟังในอีกแง่มุมนึงเผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือเพื่อนๆ ที่กำลังเก็บเงิน
อาจจะได้กำลังใจ ข้อคิด อาจจะเยอะน้อย ก็แล้วแต่ที่ทุกท่านจะรับไปใช้นะครับ ลองอ่านดูละกันนะครับ
เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2004 เมื่อผมเรียนจบ แล้วก็ได้รับรู้ว่าแม่ผมเป็นหนี้แบงค์ และโดนฟ้องล้มละลายจากธุรกิจที่ทำอยู่ นั่นทำให้ผมและพี่ชายอายุมากกว่าผม 3 ปี ต้องเข้าไปรับเป็นหนี้แทน เพราะไม่ฉะนั้นแบงค์จะยึดบ้านขายทอดตลาด
ทำให้เด็กจบใหม่อายุ 22 ปี ได้เป็นหนี้พร้อมพี่ชายจำนวน 2.4 ล้านบาท และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเหมือนซื้อบ้านราคา 2.4 ล้านได้โดยที่แบงค์ไม่ต้องตรวจเครดิตอะไรมากมาย (ใครอยากเลียนแบบก็ได้นะครับ 55)
ในแต่ละเดือนแบงค์ให้ผ่อนที่ 12,000 บาท (เป็นเรตประณอมหนี้) และต้องให้เป็นค่าใช้จ่ายแม่อีกจำนวนนึง ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่เป็นหนี้มา ผมจะใช้เงินในแต่ละเดือนประมาณนี้นะครับ
1. ผ่อนบ้าน และให้แม่ (ตามรูปครับ)
2. ค่ากิน ประมาณ 3-5 พัน บาท ( รวมค่ากินสังสรรค์ และไปเที่ยวบ้าง)
3. ค่าอพาร์ทเม้น 3 พัน บาท
4. ค่าเดินทาง 400 -1000 บาท (ผมใช้การซื้อมอไซค์มือสองมาขี่ไปทำงาน ถึงปัจจุบันก็ขี่ในกรุงเทพมา 10 ปี ยังใช้คันเดิมอยู่ครับ)
5. เก็บเป็นเงินออม และซื้อ ltf, rmf รวมถึงทำประกันเพื่อลดหย่อนภาษี
จะบอกว่า ณ ปัจจุบันที่เงินเดือนผมเกือบ 4 หมื่น ผมก็ยังใช้จ่ายเหมือนเดิม อาจจะเพิ่มมาก็ตรงที่ปัจจุบันผมแต่งงานและซื้อบ้านเป็นของตัวเองแล้ว ทำให้ค่าหอพักไม่มี กลายเป็นค่าผ่อนบ้านแทน และค่ากินและเดินทางที่เพิ่มขึ้นมาอย่างละ 1500 บาท
สิ่งสำคัญของกระทู้นี้ ไม่ใช่เงินที่ผมเก็บได้ทั้งหมด เพราะนั่นผมใช้ให้เพื่อนๆเห็นได้ชัดขึ้น แต่คือความผิดพลาดที่ได้บอกในหัวกระทู้ครับ ข้อผิดพลาดที่อยากจะแชร์ให้เป็นตัวอย่างคืออะไรผมว่าบางท่านที่เห็นรูปอาจจะพอทราบ
นั่นคืออัตราการขึ้นเงินเดือนของผมที่ค่อนข้างน้อยครับ (ในความรู้สึกผมนะ) และสาเหตุคือ ผมใช้เงินไปกับการผ่อนบ้าน , ลงทุน , ให้แม่ แต่ผมไม่เคยใช้เงินในการลงทุนกับตัวผมเอง ผมไม่พัฒนาตัวเองเท่าที่ควรจะเป็น ส่วนนึงเพราะ ผมเก็บตัวไม่เปิดโลกทรรศน์
ไม่ค่อยไปสังสรรค์อะไร ไปเที่ยวก็เฉพาะกับเพื่อนสนิทบางครั้ง (ก็เพราะผมไม่มีเงิน) นั่นทำให้ผมมีสังคมที่แคบ และผมมีปัญหาสุขภาพจากความเครียด นอนไม่ค่อยหลับต้องพึ่งยานอนหลับมาประมาณ 6 ปี( อยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอด) เพราะผมไม่เคยใช้เงินเพื่อซื้ออะไรให้ตัวเองมีความสุขเลย (ความสุขบางอย่างต้องใช้เงินซื้อครับ)
แต่ตอนนี้ผมมีครอบครัวแล้วครับ และได้ภรรยาที่เป็นคู่ชีวิตที่ดีและเธอก็เข้าใจผม จนถึงตอนนี้ผมเหลือหนี้บ้านกับทางแบงค์ที่ 2แสนกว่าบาท ซึ่งปีหน้าก็คงหมดแล้วครับ
ในส่วนของการลงทุนที่บอกว่าไม่ได้เป็นตัวเงิน นั่นก็คือ แม่ ครับ ผมได้เลี้ยงดูแม่เท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็คงไม่มีทางได้กลับมาเป็นตัวเงิน แต่มันได้ความภูมิใจและชีวิตแม่ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตอนเป็นหนี้ แม่ผมไม่เครียด ไม่หงุดหงิดง่าย ตอนนี้มีความสุขดีครับ ผิดกับเมื่อตอนโดนฟ้อง เป็นหนี้ อะไรต่างๆนานา ซึ่งมันก็ทำให้ผมมีความสุขไปด้วยครับ
ส่วนเงินเก็บตอนนี้ผมมีน้อยนะครับเพราะต้องผ่อนและเลี้ยงดูแม่อย่างที่บอกไปนะครับ (ตอนนี้ก็พยายามเก็บเพิ่มให้มากขึ้นครับ)
1. LTF + RMF ประมาณ 60,000 (อันนี้รวมกำไรนะครับ)
2. ประกันชีวิต 200,000 ครับ แต่จะเอาออกมาได้อีก 5 ปี
3. provident fund กับบริษัทเก่า 275,000 (เอาออกปีหน้าเพราะบริษัทใหม่ไม่มี provident fund)
4. เงินออม 40000 (อยู่ในหุ้นหมดครับ)
นอกนั้นก็เป็นบ้านที่อยู่ปัจจุบันกับภรรยา และรถยนต์คันนึงผ่อนอีก 2 ปีครับ จริงๆจะมีพวกทองกับอื่นๆ อีกนิดหน่อย ที่ผมนำไปเป็นสินสอดทองหมั้นแล้วได้กลับมาจากแม่แฟนนะครับ
ก็อยากเป็นกำลังใจให้กับน้องๆเพื่อนๆทุกคนที่กำลังเก็บเงินว่าขอให้พยายามต่อไป และขอให้ประสบความสำเร็จ แต่อย่าลืมตอบแทนหาความสุขให้กับตัวเองบ้าง อย่าเครียดมาก ปล่อยวางบ้าง และบางอย่างคุณสามารถหาความสุขได้โดยไม่ต้องใช้เงินครับ
ผมขออนุญาตลงข้อคิดที่ได้จาก 11 ปีนี้ไว้นิดนึงครับ ประสบการณ์เรื่อง หนี้ ล้มละลาย เรื่อง กรมที่ดิน ธนาคารจริงๆ เจอมาเยอะมากที่เป็นสีเทา แต่ขอไม่กล่าวมากไปกว่านี้ครับ (ถ้ามีโอกาสจะแชร์ให้ฟังครับ) ข้อคิดสั้นๆ สรุป คือ
1. สุขภาพสำคัญมาก ( ปัจจุบันผมยังต้องทานยานอนหลับครับ ถึงจะลดลงมาเยอะแล้ว)
2. บุพการี ทำให้ท่านดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพราะท่านอยู่กับเราไม่ได้ตลอดไป จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
3. การประหยัดไม่ทำให้รวยครับ การหาเงินให้เก่งจะทำให้รวย
4. และจะหาเงินให้เก่งได้ ต้องลงทุนกับตัวเอง พัฒนาตัวเองครับ สำคัญกว่าไปลงในกองทุน หุ้น หรือประกันอีกครับ
5. ในการทำงาน สำคัญที่สุดมากกว่าฝีมือคือ skill ในการ present ตัวเอง และการเข้าสังคมครับ ทำงานเก่งอย่างเดียว ลำบากครับ
6. สุดท้ายคือต้องลงมือทำครับ
***ขอเพิ่มข้อคิดที่ได้อีกข้อคือ
ผู้หญิงทุกคนไม่ได้มองผู้ชายที่ฐานะครับ ดูอย่างผมเป็นต้นครับ ปัจจุบันผมยังขี่มอไซค์เหมือนเดิม แต่ยังมีผู้หญิงที่แต่งงานกับผมครับ ถึงแม้จะไม่มีรถยนต์ขับครับ