ย้อนดู!! 4 ตำนาน โศกนาฏกรรมความรักของไทย
โพสท์โดย แม่ด่าทุกวัน
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เริ่มต้นที่บทรักแสนเศร้า จบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่กลายเป็นตำนาน
ตำนานความรักของ มะเมียะ หญิงสาวชาวพม่าที่มีความรักมั่นกับ เจ้าน้อยศุขเกษม เจ้าชายล้านนา แต่ความรักต้องจบลงด้วยความโศกสลด เพราะถูกกีดกันด้วยความต่างของเชื้อชาติ ชนชั้น และสถานการณ์บ้านเมือง อันเป็นที่มาของตำนานความรักที่เล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน ช่วงเวลาสร้างตำนาน ปี พ.ศ. 2445-2505 สถานที่ก่อเกิดตำนาน นครเชียงใหม่ แคว้นล้านนา (จ.เชียงใหม่ ในปัจจุบัน)
ความรักที่ไม่สมหวัง โศกเศร้า เสียใจ คือบทที่ไม่มีใครอยากสรรค์สร้าง แต่ชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว บทรักที่แสนเศร้าจึงกลายเป็น โศกนาฏกรรมความรัก ที่ไม่อาจหลีกหนีได้ เราขอหยิบตำนานความรักแห่งการพลัดพราก ลาจาก มาเล่าขานให้ฟังกันอีกครั้ง
โศกนาฏกรรมความรักต้องห้ามของชาวล้านนา
ร้อยตรี เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม ณ เชียงใหม่) หรือ เจ้าน้อยศุขเกษม (พ.ศ. 2423-พ.ศ. 2453) ราชโอรสองค์โตในเจ้าแก้วนวรัฐ กับแม่เจ้าจามรีมหาเทวี แห่งนครเชียงใหม่ เมื่ออายุได้ 15 ปี ถูกส่งไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเซนต์แพทริค (St. Patrick′s School) ในเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า เมื่อเจ้าน้อยฯ มีอายุ 19 ปี ได้ออกไปเดินเที่ยวในตลาดจึงพบ มะเมียะ (พ.ศ. 2430-พ.ศ. 2505) หญิงสาวชาวพม่า แม่ค้าขายบุหรี่อายุ 15 ปี ทั้งคู่ต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน
จนกระทั่งได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา โดยทั้งสองได้สาบานต่อกัน ณ ลานหน้าพระธาตุใจ้ตะหลั่นว่า จะรักกันตลอดไปและจะไม่ทอดทิ้งกัน หากผู้ใดทรยศต่อความรักที่มีให้กัน ก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น เมื่อเจ้าน้อยฯ อายุ 20 ปีต้องกลับนครเชียงใหม่
จึงแอบพามะเมียะกลับมาด้วย เมื่อกลับมาถึงจึงทราบว่าได้ถูกหมั้นหมายผู้หญิงไว้ให้แล้ว เจ้าน้อยฯ จึงตัดสินใจเล่าเรื่อง มะเมียะให้ฟัง แต่ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะช่วงนั้นพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษที่กำลังมีคดีความกับสยามอยู่ (นครเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยามในสมัยนั้น) มะเมียะจึงถูกส่งตัวกลับทันที วันเดินทางกลับ อันจะกลายเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์
เจ้าน้อยฯ พูดภาษาพม่ากับมะเมียะได้เพียงไม่กี่คำ นางก็ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจในอ้อมแขนที่ยากจะแยกจากกันได้ เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่นางจะจากไป นางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชี
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยฯ หลังจากที่ทราบข่าวการแต่งงานของ เจ้าน้อยฯ กับเจ้าบัวชุม ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย แต่เจ้าน้อยฯ ไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้พี่เลี้ยงคนสนิทนำเงิน 1 กำปั่น( 800 บาท) ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ
พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มะเมียะและเจ้าน้อยฯ ต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด หลังจากเหตุการณ์นั้นเจ้าน้อยฯ ก็ตรอมใจเอาแต่กินเหล้าและสิ้นชีพิตักษัยในอีกไม่กี่ปีต่อมา ส่วน มะเมียะ ได้ครองบวชเป็น แม่ชี จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2505 รวมอายุได้ 75 ปี
โศกนาฏกรรมความรักต่างภพอันลือลั่น
ตำนานความรักของ อำแดงนาก ผีสาวตายทั้งกลมที่มีต่อสามีอันเป็นที่รัก ช่วงเวลาสร้างตำนาน ปลายรัชกาลที่ 3 ถึงตอนต้นรัชกาลที่ 4 สถานที่ก่อเกิดตำนาน ตำบลพระโขนง จังหวัดพระนคร (ย่านวัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง กทม. ในปัจจุบัน)
จนครบกำหนดคลอด นางนากสิ้นใจไปขณะทำคลอดบุตร กลายเป็นผีตายทั้งกลม ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการก็กลับจากบางกอกมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบความว่านางนากได้ตายไปแล้ว ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว
จนวันหนึ่งขณะที่นางนากตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนากทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนากไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง
ทำให้นางนากออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง สุดท้ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาโปรดนำนางนากสู่สุคติ ตำนานรักของนางนาก นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างไม่รู้จบ กับความรักที่มั่นคงของนางนากที่มีต่อสามี ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้ จนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ และละครเวที มากมายหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ปราโนต วิเศษแพทย์ (พ.ศ. 2481 – 2510) เป็นบุตรของนายยงค์ และหม่อมหลวงหญิง บุญนาค วิเศษแพทย์ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน และเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของบ้านที่มีฐานะความเป็นอยู่ดี เมื่อจบชั้นประถมศึกษา ปราโนต ได้มีโอกาสเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนาฏศิลป กรมศิลปากร หรือ วิทยาลัยนาฏศิลปในปัจจุบัน ตามความชอบในด้านการแสดงตั้งแต่เยาว์วัย
โศกนาฏกรรมความรัก ตำนานโลงคู่ วัดหัวลำโพง
ตำนานความรักของ ปราโนต วิเศษแพทย์ หรือ สีดา สาวประเภทสองฉายานางงาม 50 มงกุฎ และ ชีพ-สมชาติ แก้วจินดา ชายอันเป็นที่รัก ที่ตายตกตามกันด้วยคำสาบาน ช่วงเวลาสร้างตำนาน ปี พ.ศ. 2510 สถานที่ก่อเกิดตำนาน บ้านพักย่านซอยสวนพลู และ วัดหัวลำโพง กทม.
โรงเรียนแห่งนี้นอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ปราโนตเป็นที่รู้จักในชื่อของ “สีดา” (นางในวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ที่มีความงดงามอย่างมาก) แล้ว ที่นี่ยังเปิดโอกาสให้เขาสามารถแสดงบุคลิกที่เบี่ยงเบนไปจากเพศที่แท้จริงของตนเองได้อย่างอิสระเสรีอีกด้วย การสวมบทสตรีเพศ อีกทั้งซึบซับความอ่อนหวานเรียบร้อยแบบผู้หญิงของคนรอบข้างไว้อย่างไม่รู้ตัว เป็นส่วนส่งเสริมให้ร่างกายและจิตใจของปราโนตเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว
ความงามของ ปราโนต วิเศษแพทย์ นี้เป็นที่โด่งดังมากในหมู่สาวประเภทสองในยุคนั้น หลังออกจากการเป็นนักเรียนของวิทยาลัยนาฏศิลป์ เธอเริ่มเดินสายประกวดนับครั้งไม่ถ้วน ลงเวทีไหนเป็นต้องชนะเวทีนั้น เรียกว่า “สวยไร้คู่แข่ง - สวยไม่ปรานีปราศรัย” จนได้รับฉายาว่า “นางงาม 50 มงกุฎ” (สำหรับเกือบ 50 ปีก่อน ปราโนต เรียกได้ว่า สวยกว่าผู้หญิงบางคน และไม่มีสาวประเภทสองคนใดเทียบได้)
ปราโนต พบรักครั้งแรกกับตัวพระ ซึ่งมารับบท “พระราม” แต่รักครั้งนี้ เป็นแค่ความรู้สึกดีดีที่มีต่อกัน ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ต่อมา ปราโนตได้พบรักกับชายหนุ่มชื่อ สมบูรณ์ ทั้งคู่คบหาและอยู่กินกันนานถึง 8 ปีเต็ม สุดท้ายก็เลิกรากันไปและนายสมบูรณ์ก็หันไปคบกับผู้หญิงอื่น จนผ่านไปสองสามปี ปราโนตก็ได้มาเจอกับ สมชาย แก้วจินดา หรือ ชีพ มีอาชีพขับรถรับจ้าง รูปหล่อ สุภาพ เรียบร้อย พูดจาดี
ทั้งคู่ตกลงปลงใจและย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านพักย่านซอยสวนพลู แต่จนแล้วจนรอดปัญหาเดิมก็กลับมาทำร้ายคนทั้งคู่ นั่นคือความหวาดระแวง หึงหวงกัน ครั้งหนึ่งทั้งคู่ได้สาบานต่อกันที่วัดพระแก้วและศาลหลักเมืองว่า “ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อกันก็ขอให้ตายด้วยกัน ถ้าสีดาตายก่อน ชีพจะต้องตายตามไป แต่ถ้าชีพตายก่อน สีดาก็จะต้องตายตามไป” หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกหลายครั้งและตัดสินใจแยกกันอยู่
ปราโนตคิดตลอดเวลาว่า เธอไม่ใช่ “หญิงแท้” เธอกังวลว่าความสุขที่เธอมอบแก่ชีพนั้นจะไม่เต็มที่อย่างที่เขาต้องการและพึงใจ จนเธอระแคะระคายว่า ชีพมีผู้หญิงอื่นมาติดพัน จนเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่กลับมาทะเลาะกันอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นสาเหตุที่ตอกย้ำความเชื่อของเธอจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ปราโนตได้ตัดสินใจดื่มยาพิษฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง
แต่ก็มีคนช่วยชีวิตไว้ได้ทัน และในการดื่มยาพิษครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2510 ลมหายใจสุดท้ายของปราโนตก็หมดสิ้นลงอย่างโดดเดี่ยวในบ้านพักของเธอ เมื่อ ชีพ ทราบข่าวก็ได้แต่พร่ำพูดแต่ประโยคที่ว่า “ผมจะตามพี่ไป พี่รอผมด้วย” พลางร้องไห้กอดศพของปราโนตแน่น เย็นวันเดียวกันนั้นเอง ชีพได้บวชอุทิศส่วนกุศลให้กับปราโนต หลังจากสวดศพครบ 3 คืน
เณรชีพตัดสินใจสึก จากนั้นได้นำสมบัติที่ซื้อร่วมกันไปจำนำ และนำเงินที่ได้ไปให้แก่คนในบ้าน และได้เขียนจดหมายสั่งเสียว่า “ขอให้นำเงินจำนวนดังกล่าวนี้เพื่อทำศพของเขา ขอให้พี่ๆ ช่วยเป็นภาระในการเลี้ยงดูแม่ ส่วนศพของเขาให้เอาไว้ที่วัดหัวลำโพงคู่กับศพของโนต” ต่อมา ชีพ ก็กินยาฆ่าแมลงและเสียชีวิตเมื่อตอนเที่ยงวันที่ 15 พฤษภาคม 2510 (เดือน – ปีเดียวกัน)
วัดหัวลำโพง คือสถานที่บำเพ็ญกุศลให้กับดวงวิญญาณที่จากไปของปราโนต แต่หลังจากที่งานศพเสร็จสิ้นลงเพียงไม่กี่วัน อีกหนึ่งชีวิตก็ติดตามไป เหมือนคำสาบานที่เคยให้ไว้ต่อกัน ภาพของร่างไร้วิญญาณในโลงศพที่ตั้งเคียงคู่กัน ณ วัดหัวลำโพง เพื่อรอการฌาปนกิจ ได้สร้างความโศกสลดให้กับคนทั่วไป และยุติความแคลงใจของคนรอบข้างที่มีต่อความรักของทั้งสองได้อย่างสิ้นเชิง
โศกนาฏกรรมความรัก ก้าวข้ามผ่านด้วยผ้าขาวม้าและความตาย
ตำนานนี้มีจุดเริ่มต้นจากชายหนุ่มขับรถโปท้อง (รถสองแถว) ชื่อว่า โกดำ แซ่ตัน พบรักกับ หญิงสาวชื่อ กิ๋ว-กาญจนา แซ่หงอ นักศึกษาวิทยาลัยครู ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม พวกเขาใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นบทพิสูจน์ให้บิดาของหญิงสาวได้เห็นถึงความรักที่มีให้แก่กัน แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่เป็นผล เมื่อผู้เป็นพ่อของฝ่ายหญิงไม่ยอมเปิดใจ หลายครั้งที่กิ๋วถูกบิดากักขังและทุบตีเยี่ยงทาส เพราะแอบลักลอบพบกับโกดำ อีกทั้งพ่อยังไม่ละความพยายามในการยัดเยียดลูกสาวให้กับเศรษฐีมีเงิน
เขาทั้งสองคนได้นำผ้าขาวม้ามาผูกมัดต่อกันแล้วตัดสินใจกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำ การผูกมัดผ้าเข้าด้วยกันนั้นอาจสื่อถึงการที่พวกเขาจะได้อยู่คู่กันแม้เเต่ความตาย ก็ไม่สามารถพรากหัวใจทั้งสองจากกันได้ เวลาต่อมาชาวบ้านก็ได้พบร่างไร้วิญญาณของทั้งสอง สร้างความเสียใจสะท้านความรู้สึกของชาวบ้านท่าฉัตรไชยเสมอมา
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
28 VOTES (4/5 จาก 7 คน)
VOTED: jarasporn, FORFAME
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
ตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ทนายสายหยุด ยอมรับสลิปโอนเงินของ "นานา" เป็นของปลอม
"ซีรี่ย์จีนแนวตั้ง" เทรนด์ใหม่ที่คนไทยติดกันงอมแงม
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ซีรี่ย์จีนแนวตั้ง" เทรนด์ใหม่ที่คนไทยติดกันงอมแงม
ตำรวจเรียกสอบเพื่อนสนิทที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ "นัทปง" เสียชีวิต
สยอง! งูยักษ์ 5 เมตรหนัก 60 กิโลฯ พังเพดานห้องน้ำ จู่โจมบ้านชาวมาเลเซีย
หัวใจแตกสลายทั้งโซเชียล! "สาวญี่ปุ่น" สุดคิวท์ถูกแมวป่วนใต้กระโปรง แท้จริงคือคุณพ่อลูกสอง วัย 48
จัดอันดับแมลงมีพิษที่สุดในไทย
"บัวเพอร์เพิลจอย"ลูกผสมสีสันดอกสีม่วงนั้นโดดเด่นค่อยๆไล่สีจนไปถึงเกสรสีขาว







