คุณรู้หรือไม่? ที่มาของคำว่า “สบู่” มาจากไหนกันนิ
สบู่ก้อนแรกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 6 ศตวรรษก่อนคริสตกาลหรือประมาณ 2500 ปีมาแล้ว กล่าวกันว่าพวกฟีนีเชียนได้ต้มน้ำกับไขมันแพะและขี้เถ้าเข้าด้วยกัน แม้ฟังดูจะไม่ค่อยสะอาดนัก แต่สารโพแทสเซียมคาร์บอเนตในขี้เถ้านั้นช่วยให้สบู่ดึกดำบรรพ์ซึ่งมีผิวมันปลาบก้อนนี้มีคุณสมบัติใช้ทำความสะอาดได้
อย่างไรก็ตาม การผลิตและการใช้สบู่ก็ยังดำเนินไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนในสมัยหลังมีข้อยืนยันทางการแพทย์ว่า แบคทีเรียเป็นตัวการของโรคภัย เมื่อนั้นฝรั่งจึงยอมหันมาอาบน้ำและถูสบู่กันถ้วนหน้า แต่ตัวสบู่เองก็ไม่ได้มีการพัฒนาไปจากก้อนแรกเท่าไรเลย
ในปี ค.ศ. 1879 นายฮาร์เลย์ พร็อกเตอร์ เจ้าของโรงงานสบู่ และนายเจมส์ แกมเบิล ญาติซึ่งเป็นนักเคมี พบว่าสบู่กุรุสที่ถูกทิ้งให้ตีผสมอยู่ในเครื่องนานเกินไปเพราะคนงานลืมปิดเครื่องมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่าง คือมีน้ำหนักเบาจนสามารถลอยน้ำได้เพราะฟองอากาศในเนื้อสบู่ ปรากฏว่าสบู่ลอยน้ำได้ของนายพร็อกเตอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว
นายพร็อกเตอร์ตั้งชื่อสบู่แหวกแนวของตนว่า ไอวอรี สบู่ยี่ห้อนี้มีรอยปรุตรงกลางก้อน หักแบ่งครึ่งได้ นายพร็อกเตอร์ตั้งสโลแกนสบู่ของตนว่า "มีเนื้อสบู่บริสุทธิ์ถึง 44 /100 เปอร์เซ็นต์" ทั้งนี้เป็นความคิดที่ดัดแปลงมาจากรายงานว่า สบู่ไอวอรีมีสิ่งเจือปน อยู่ 56/100 ของหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เมื่อกลับเอาลบมาเป็นบวก ผลที่ได้คือคอนเซ็ปต์โฆษณาในยุคต้นที่สุดจะคลาสสิก และยังช่วยให้นายพร็อกเตอร์ตั้งตัวเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเครื่องอุปโภคขนาดยักษ์ เรียกว่าร่ำรวยขึ้นมาจากฟองสบู่ก็เห็นจะไม่ผิดนัก
เมืองไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวต่างชาติมักนิยมเข้ามาค้าขายกันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ โปตุเกส ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น
ในสมัยก่อนชาวต่างชาติพวกนี้มักจะมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ดูทันสมัยนำเข้ามาขายในประเทศไทยอยู่เสมอ สินค้ายอดนิยมในสมัยนั้นที่ชาวญี่ปุ่นนำเข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทยคือ “สบู่” ที่สามารถใช้ได้ทั้งซักผ้าและถูตัวทำความสะอาดร่างกาย จริงแล้วสบู่ไม่ใช่สินค้าของญี่ปุ่น แต่เป็นของคนยุโรปที่ไปค้าขายในญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นจะเรียก Soap เป็น “โซปปุ” () ดังนั้นชาวญี่ปุ่นที่นำสบู่มาขายในเมืองไทยจึงเรียกตามสำเนียงของตัวเองว่า “โซปปุ”
แต่ด้วยภาษาและสำเนียงที่ต่างกัน คนไทยจึงเรียกเพี้ยนมาเป็นคำว่า “สบู่” ที่เรารู้จักและใช้มาถึงทุกวันนี้นี่เอง