เรื่องลึกลับรัสเซียในอดีต
เรื่องลึกลับรัสเซียในอดีต
สหภาพสาธารณะรัฐสังคมนิยมโซเวียต(รัสเซีย)
The Union of Soviet Socialist Republics (or Soviet Union)
กลายเป็นชื่อในอดีตไปแล้ว
แต่เรื่องราวลึกลับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมากว่า 70 ปี
ที่รอการเปิดเผยมีมากมายหลายเรื่องมาก
ตั้งแต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดจนถึงเรื่องที่ดีที่สุด
มีเรื่องราวตัวอย่างที่ค่อนข้างแปลกแต่จริง
แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตบางเรื่องก็ตาม
แต่จะมีส่วนช่วยให้คนเราเข้าใจในเรื่อง
ภูมิรัฐศาสตร์ในทุกวันนี้ไม่มากก็น้อย
หมายเหตุ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
รัสเซีย จะแทนคำว่า สหภาพสาธารณะรัฐสังคมนิยมโซเวียต
1.) หนังสือเดินทางของรัสเซียในอดีตตรวจการปลอมได้ง่ายมาก
ตรวจด้วยการดึงลวดเย็บกระดาษออกมาได้เลยเพราะคุณภาพแย่มาก
2.) ทหารองครักษ์ต่างหวาดกลัว Stalin เป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ได้มีคำสั่งอย่างไรก็ห้ามทำโดยเด็ดขาด
ทำให้ทหาร ฯ ต้องรอคอยอยู่นอกห้องนานถึง 12 ชั่วโมง
จึงจะเข้าไปพบได้แล้วพบว่า Stalin นอนเป็นอัมพฤกษ์ใกล้ตายแล้ว
กว่าจะตามตัวนายแพทย์มาดูแล Stalin ก็อาการหนักมากแล้ว
(มีคำสั่งว่า ถ้าครบ 12 ชั่วโมงแล้ว Stalin ยังไม่ออกจากห้องพัก
ให้สามารถพังห้องพักเข้าไปได้เลย เผื่อว่าเขาเป็นภยันตรายหรือล้มป่วยหนัก
ห้องพักภายในจะเงียบสงบมากและป้องกันภยันตรายขั้นสูงสุด
Stalin เป็นคนโรคจิตที่เกลียดเด็กมาก
เคยมีเด็ก ๆ หลายคนมาวิ่งเล่นส่งเสียงดังใกล้ที่พักของเขา
วันรุ่งขึ้นทั้งเด็กทั้งครอบครัวหายสาบสูญไปจากบริเวณนั้น)
3.) เอกสารทางรัฐการที่ยืนยันการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
เพิ่งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556
4.) สหรัฐอเมริกาเคยตกลงจะร่วมมือกับรัสเซีย
ในการสำรวจอวกาศร่วมกันมาก่อน
แต่เมื่ออดีตประธานาธิบดี Kennedy ถูกลอบสังหาร
รัสเซียยกเลิกความร่วมมือทันทีเพราะไม่ไว้ใจ
อดีตประธานาธิบดี Johnson ที่มารับตำแหน่งแทน
5.) ในปี 1933(2476) Stalin เนรเทศประชาชน 6,200 คน
ไปอยู่ที่เกาะรกร้างใน Siberia ทิ้งไว้แต่แป้งให้ทำอาหาร
แต่ไม่ทิ้งเครื่องมือก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย(หลบภัยฝน/ภัยหนาว)
หนึ่งเดือนภายหลัง เจ้าหน้าที่รัฐกลับมาตรวจดูอีกครั้ง
ปรากฎว่าผู้ถูกเนรเทศตายไปแล้วกว่า 4,000 คน
6.) Vasili Blokhin หัวหน้าทีมงานเพชฌฆาตของรัสเซีย
ได้สังหารเจ้าหน้าที่ชาวโปแลนด์มากกว่า 7,000 คน
ด้วยปืนสั้นในช่วง 28 วันด้วยตนเองเพียงลำพัง
เฉลี่ยยิงทิ้ง 3 นาทีต่อหนึ่งศพ
โดยใช้เวลามากกว่าวันละ 10 ชั่วโมง
7.) ทารกเพศชายมากกว่า 80% ที่เกิดในรัสเซียในปี 1923(2466) ตายในสงครามโลกครั้งที่ 2
8.) ภาพยนตร์อเมริกาเรื่อง ผลพวงแห่งความคับแค้น (The Grapes of Wrath)
เคยฉายในรัสเซีย เพื่อโฆษณาเผยแพร่ความตกต่ำของลัทธิทุนนิยม
แต่ต่อมาถูกยกเลิกการฉายทันที เพราะผู้ชมรัสเซียต่างแปลกใจมาก
กับภาพที่คนจนที่สุดในสังคมทุนนิยม ตามท้องเรื่องมีรถยนต์/รถแทร็คเตอร์ส่วนตัว
สรุปย่อ ๆ เรื่องราวครอบครัวอเมริกันที่ทำฟาร์มโดยใช้แรงงานครอบครัวกับเพื่อนบ้าน
ต่อมาธนาคารกับบริษัทขายรถแทร็คเตอร์ ได้ร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการทำฟาร์มด้วยเครื่องมือจักรกลเกษตร
สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กับระบบทุนนิยม เพราะการใช้เครื่องจักรจะมาทดแทนแรงงาน
ทำให้คนอีกจำนวนมากมายต้องตกงานไปในที่สุด และเจ้าของฟาร์มบางแห่งก็ไม่รอดเช่นกัน
เพราะถ้าราคาพืชผลเกษตรไม่ดี ดินฟ้าอากาศไม่ดี ผลผลิตเกษตรก็ไม่ได้ผล
สุดท้ายก็ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายเงินผ่อนกับดอกเบี้ยธนาคาร
ต้องขายทรัพย์สินใช้หนี้ในที่สุด จากชนชั้นกลางก็กลายเป็นคนยากไร้
ครอบครัวนี้เลยเดินหน้าไปหาทางออกในเมืองอื่น ความทุกข์ยากที่เจอร่วมกัน
มีแต่ความผูกพันและน้ำใจที่ช่วยจรรโลงให้ต่อสู้กับโลกทุนนิยมที่โหดร้ายได้
นี่คือหนังสือดีเล่มโดดเด่นในศตวรรษ ซึ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1940 และรางวัลโนเบลในปี 1962
"ผลพวงแห่งความคับแค้น" เป็นสุ้มเสียงอันคับแค้นของชาวไร่ผู้สูญเสียที่ทำกิน
กลายเป็นผู้อพยพอันทุรนทุรายเพราะความแห้งแล้งของธรรมชาติ
และระบบทุนนิยมในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นความแค้นของพลเมืองผู้ไร้โอกาสที่ทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
การต่อสู้แย่งชิงความอยู่รอดเพื่อครอบครัวระหว่างคนจนด้วยกัน
จึงเสมือนอะไรสักอย่างที่ต้องกัดกินกันเองอยู่ภายในกติกาแห่งกลุ่มทุน
เป็นหนังสือต้องห้ามในหลายประเทศที่กลายเป็นวรรณคดีซึ่งเยาวชนชาวอเมริกันทุกคนต้องอ่าน
และเป็นวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกที่นักอ่านไม่ควรพลาด
ที่มา http://goo.gl/WqSp6X
9.) รัสเซียขุดหลุมลึก Kola Superdeep Borehole
เพื่อทดสอบว่าชาติของตนสามารถขุดผิวโลกได้ลึกขนาดไหน
(แข่งขันกับสหรัฐอเมริกาขุดหลุมลึกใต้ผิวโลกในช่วงนั้น)
สามารถเจาะได้ลึกที่สุดในโลกบนคาบสมุทรบอลติก
ที่ความลึก 40,230 ฟุตจากผิวโลก (หรือ 7.5 ไมล์)
11.) บรรดานักโทษรัสเซียนิยมสักรูป Lenin กับ สตาลิน
เพราะมีคำสั่งห้ามทหารยิงภาพผู้นำรัฐ
12.) รัสเซียปฏิเสธการเข้าร่วมแข่งขันกีฬา Paralympics ในปี 1980(2523)
ด้วยการประกาศว่าชาติรัสเซีย ไม่มีประชาชนที่เป็นคนทุพพลภาพแม้แต่คนเดียว
13.) หน่วยสืบราชการลับ KGB พยายามจะขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ
ภาพยนตร์ที่แอบถ่ายอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย Achmed Sukarno
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเรื่องที่มีเพศสัมพันธ์กับสายลับหญิงชาวรัสเซียหลายคน
แต่เขากลับขอให้ทางรัสเซียทำสำเนาภาพยนตร์ให้อีกหลาย ๆ ชุด
เพราะว่าเมื่อเขากลับถึงประเทศแล้วจะได้นำไปฉาย
เป็นหนังกลางแปลงให้ชาวบ้านดูกันทั่วประเทศ
(เพื่อแสดงถึงความสามารถเก่งกาจยังเป็นชายวัยฉกรรจ์ของอดีตประธานาธิบดี)
Credit : wikipedia
แต่ไม่เคยได้รับเงินซักบาทเดียวเลย
เพราะทางการรัสเซียถือว่าเป็นเจ้าของเทคนิคทุกอย่าง
15.) ต้องรอถึง 3 วันรัสเซียจึงยอมประกาศหายนะ
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าที่เชอร์โนบิล Chernobyl
หลังจากที่หน่วยงานนิวเคลียร์ในสวีเดิน
ตรวจพบการแพร่กระจายของรังสี
16.) นายพลรัสเซียรายหนึ่งสั่งให้นักวิทยาศาสตร์
ผลิต Coca-Cola (ไร้สีดำ) ที่ดูเหมือนเหล้าวอสก้า
เพื่อไม่ให้กระอักกระอ่วนใจในการดื่มต่อหน้ากองทัพของเขา
17.) George Abramovich Koval คือ สายลับรัสเซียผู้ขโมยความลับ
ในเรื่องนิวเคลียร์อเมริกาจากโครงการ Manhattan
เรื่องนี้เพิ่งจะถูกเปิดเผยในปี 2002(2545) แต่ไม่ชัดเจน
จนกระทั่งในปี 2007 ประธานาธิบดี Vladimir Putin
ประกาศสรรเสริญว่าเขาคือ วีรบุรุษรัสเซีย
" ผู้กล้าหาญและมีความเป็นวีรบุรุษ ในการปฏิบัติภาระกิจขั้นสุดยอด "
เขาเป็นลูกชายชาวยิวอพยพเกิดที่ Sioux City รัฐ Iowa
ตอนเด็กพ่อพากลับไปเยี่ยมญาติชาวยิวที่ Khabarovsk ใกล้เขตแดนประเทศจีน
แล้วได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนฝึกฝนเป็นสายลับใน
Soviet Main Intelligence Directorate เป็นเวลา 9 ปี มีชื่อลับว่า DELMAR
เมื่อกลับสหรัฐในปี 1940 ได้สมัครเป็นทหารกองทัพบกในปี 1943
หลังจากเข้าเรียนเทคนิคด้านไฟฟ้าในระดับวิทยาลัย
เพื่อนร่วมวิทยาลัยยอมรับว่า เขามีอายุมากกว่าคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน
เป็นคนเรียนเก่งมาก สูบบุหรี่จัดมากจนนิ้วมือไหม้(สีเหลืองคราบนิโคติน) พูดติดสำเนียง Iowa
ชอบหลบหนีไปข้างนอกโรงเรียนโดยใช้หมอนกับผ้าห่มตบตาเพื่อนร่วมโรงนอนว่ากำลังนอนหลับ
(ความจริงเขาผ่านการเรียนวิชาเรื่องไฟฟ้าจากรัสเซียมาก่อนแล้ว)
ผลการเรียนที่ดีจึงได้ย้ายไปทำหน้าที่นักวิจัยในห้องปฏิบัติการอะตอมมิค
แล้วทะยอยส่งข้อมูลต่าง ๆ กลับไปให้รัสเซีย
ในเรื่องขบวนการสะกัดและผลิตระเบิดจาก plutonium และ uranium
หลังจากสิ้นสุดโครงการได้ทุนของกองทัพบกเรียนจนจบปริญญาตรีด้านไฟฟ้า
แล้วลาออกไปทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
ในปี 1948 ได้บอกเพื่อนที่ทำงานว่าจะไปเที่ยวยุโรป
แล้วหายตัวไปโดยไม่มีใครทราบข่าวคราวว่าหายไปไหน
จน Kramish เพื่อนร่วมงาน ในโครงการ Manhattan
ได้ติดต่อสอบถามผ่านทางหน่วยงานต่าง ๆ จนจบลงที่ FBI
ที่สันนิษฐานสรุปว่าเขาเป็นจารชนสองหน้า
ในปี 2000 Kramish พบชื่อเขาโดยบังเอิญในหนังสืออ้างอิง
Mendeleev Chemical Institute ที่มอสโคว์
จึงลองหาหมายเลขโทรศัพท์ก็ได้พบรายชื่อเขาจึงได้โทรศัพท์พูดคุย
ภายหลังการพูดคุยเขาได้ให้ อีเมล์ เพื่อการติดต่อพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ
เขายอมรับว่ากลับมารัสเซียได้งานเพียงแค่ช่างเทคนิคระดับล่าง
และทำหน้าที่สอนในบางรายวิชาโดยไม่ได้รับเกียรติยศหรือค่าตอบแทนอย่างไร
เพราะทางรัสเซียก็กล้วว่าจะเป็นพวกสายลับสองหน้าเช่นกัน
ก่อนตายเขาบอกว่า "ผมไม่เคยเสียใจในการทำเรื่องแบบนี้กับประเทศมาตุภูมิ
เพราะผมเชื่อมั่นในเรื่องของระบบ (ทุกอย่างเป็นเรื่องของขบวนการและระบบ) "
18.) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียปลดปล่อยนักโทษในค่ายกักกันฝ่ายอักษะ
จำนวนมากมายกว่ากองทัพสัมพันธมิตรทุกชาติรวมกัน
(แต่กักกันคนในชาติที่เป็นนักโทษ/ทำให้นักโทษตายมากติดลำดับโลกเช่นกัน)
เรียบเรียง/ที่มา http://goo.gl/EWQ8F