หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

กะเทยไทยแบกเป้ไปหลังคาโลกคนเดียวงบไม่เกิน 2 หมื่น ตอน5

เนื้อหาโดย coconutza

กระเทยไทยหัวใจแบ๊ว เดินทางไกลด้วยรถจากหมอชิตไปถึงแดนหลังคาโลก

ทั้งชีวิตเคยเห็นหิมะแค่ในดรีมเวิลด์ จะไปญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวค่าเครื่องก็แพง

เกาหลีก็ไม่ชอบ เนปาลก็ดูจะโหดไป ยุโรปยิ่งไม่มีปัญญา ตัดสินในนั่งรถไปแชงกรีล่า

ด้วยงบ 18,000 นิดๆกับระยะเวลา 2 สัปดาห์ 4 เมืองแห่งยูนนาน

ตอนแรก จิ้มๆ https://board.postjung.com/796618.html

ตอน 2    จิ้มๆ https://board.postjung.com/796922.html

ตอน 3    จิ้มๆ https://board.postjung.com/797275.html

ตอน 4    จิ้มๆ https://board.postjung.com/798984.html

ตอน พิเศษ จิ้มๆ https://board.postjung.com/799587.html

ชอบงานเขียน "Share"หรือ"Like" สนับสนุนผู้เขียนได้นะคะ



วันที่ก้าว
21.04.14
วันนี้เป็นเช้าวันที่ฉัน(จำเป็น)ต้องก้าวเดินหลายร้อยก้าวเพื่อไปให้ถึงหมู่บ้านอวี่เปิง(Yubeng village)ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
หลังจากทำกิจกรรมช่วงเช้าเสร็จแล้ว ฉันเช็คกระเป๋า เช็คเสบียงและสิ่งจำเป็นในการเดินป่าคัดแยกเสื้อผ้าและของบางส่วน
ที่ไม่จำเป็นออกไปไว้อีกกระเป๋าหนึ่ง ทอมเป็นคนอธิบายว่าเราสามารถฝากของไว้ที่โรงแรมได้แต่เพื่อความปลอดภัย
อย่าทิ้งของมีค่าไว้ดีกว่า สัมภาระของฉันเหลือแค่กระเป๋าเป้หนึ่งใบ กระเป๋ากล้อง และน้ำขวดใหญ่เอาไว้ดื่มระหว่างทาง
ตอนนี้พยายามจะทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ บอกตัวเองเป็นพันๆรอบว่าไม่เป็นไรๆแกมาถึงนี่แล้วแกต้องทำได้สิ

ทุกคนแยกย้ายไปหาของกินตอนเช้ารองท้อง ส่วนฉันยังคงกินมาม่าคัพ(อันที่จริงกินตั้งแต่เมื่อวาน) เมื่อวาน วันนี้และวันพรุ่งนี้
ก็คงจะต้องกินแต่มาม่าคัพรสเดิมๆ ฉันเองก็เริ่มจะเซ็งเพราะหลังจากนี้อาหารทุกมื้อเป็นมาม่าคัพทั้งหมด อาเล่ยเดินเข้ามายื่น
แป้งแผ่นๆสีขาวเรียกอะไรไม่รู้ "กินสิๆ" อาเล่ยพูด ฉันพยักหน้าแล้วก้มขอบคุณๆที่ซื้อมาเผื่อ หลังจากกัดไปสองสามคำ
ฉันแอบเอาแป้งสีขาวที่เว้าแหว่งด้วยรอยกัดหย่อนลงถังขยะอย่างเงียบๆโดยไม่มีใครเห็น เพราะมันไม่อร่อยเลย!!
และคิดว่าคงจะกินไม่หมดแน่ๆ

โทมะโทะเรียกทุกคนให้เตรียมตัวไปที่รถตู้ได้แล้ว เธอเป็นคนไปเจรจาค่ารถตู้ราคาสำหรับ 7 คนคือคนละ 25 หยวน
ระยะทางไกลไม่ใช่น้อยจากเฟยไหลไปถึงจุดเริ่มต้นของอุทยาน รถแล่นออกพร้อมกับใจเต้นตึกๆระหว่างทางก็ชมทิวทัศน์
แปลกตาที่คงจะหาชมไม่ได้จากที่ไหน เส้นทางนี้สามารถไปประเทศทิเบตได้ด้วย เพราะป้ายบอกทางทีมีติดไว้ตลอด
มีกระรอกตัวน้อยๆวิ่งตัดหน้ารถเป็นระยะๆฉันเอาใจช่วยลุ้นตัวโก่งแต่ละทีที่เจอกระรอกขออย่าให้โดนทับเลย
บทเพลงจีนบวกทิเบตดังกังวาลจากเครื่องเสียงของพี่คนขับรถ เพลงออกแนวเร็วๆปลุกใจนิดๆฟังแล้วก็มีไฟขึ้นมาไม่น้อย
อันที่จริงฉันอาจจะรอวันนี้มานานแล้วก็ได้ มันคือวันที่ฉันสามารถก้าวผ่านความกลัวและขีดจำกัดของร่างกาย


ก่อนจะมาขึ้นรถตู้เรามายืนรอแสงแรกกัน


สวัสดีคาวาคาโป ฉันมาพบคุณแล้วนะ

นักปีนเขาที่หลับไหลใกล้คาวาคาโป

ก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้นมาทักทายพวกเราทุกคนชิงตื่นขึ้นมาหมดแล้ว เพราะวันนี้มีนัดสำคัญ
กับแสงแรกของวัน แสงแรกที่จะส่องออกมาจากด้านหลังของแนวเทือกเขาที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของหิมาลัย ฉาบทั้งภูเขาทั้งแนวยาวเป็นสีเหลืองทองอ่อน เรียกว่าใครมาห้ามพลาดแสงแรก
ที่ธรรมชาติเป็นคนระบายสี ความงดงามที่ไม่ต้องเสียเงินใดๆแค่แข็งใจลุกจากที่นอนให้ได้
เป็นพอ จุดนี้เป็นจุดที่ยากยิ่งเพราะอากาศหนาวติดลบด้านนอกทำให้ฉันอยากขุดตัวอยู่ใน
ผ้าห่มไฟฟ้าแสนอบอุ่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อยากพลาดแสงแรกของวัน ฉันเลยต้องดึงตัวเองออกจากเตียง

พวกเราทั้งเจ็ดคนกระหน่ำถ่ายภาพกันไม่ยั้ง ต่างคนต่างไม่สนใจใครอยากจะเก็บวินาทีนี้ไว้
ให้นานที่สุด ชาวบ้านเริ่มมากราบไหว้ภูเขากันพร้อมกับท่องบทสวดงึมงัมๆฉันพอจะเข้าใจ
ชาวบ้านจริงๆแล้วว่าทำไมเค้าถึงได้บูชาภูเขาหิมะเสมือนมันเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า
เพราะภูเขานั้นยิ่งใหญ่ เรากลายเป็นผุยผงเมื่อเทียบสเกลกับภูเขาแถมมันยังเป็นสถานที่
ที่กลืนชีวิตผู้คนไปนักต่อนัก โดยที่มนุษย์คิดว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดพิชิตทุกอย่างได้
นั่นทำให้มีเจดีย์ที่วัดแห่งนี้เป็นเจดีย์ของนักปีนเขาทั้งหมดที่ถูกกลืนกินไปกับเถือกเขาคาวาคาโป
เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเราไม่สามารถยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ และควบคุมอะไรไม่ได้เลย 
หากเราอยากจะพิชิตธรรมชาตินั่นหมายถึงเราต้องเอาชีวิตเข้าแลก เหมือนนักปีนเขาที่หลับไหลที่นี่

ก่อนจะเดินทางครั้งใหญ่อธิฐานกับภูเขา"ขออย่าให้เป็นฉันที่ต้องนอนหลับไหลเลย สาธุ"


ทางแอบหวาดเสียวด้านซ้ายมือเป็นเหวลึก ถนนขรุขระรถเด้งไปมา


ด้านขวาก็จะมีก้อนหินถล่มลงมาบนถนนเพราะกระแสลมที่แรงมากๆ (ลมแรงจริงๆนะ)

สาวๆในรถกรี้ดกันกระจาย คุณลุงคนขับรถก็เหมือนได้ใจขับเร็วขึ้นอีก
เวลารถสวนกันทีใจหายใจคว่ำทีเพราะถนนค่อนข้างแคบ มือนี่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

นักเดินเขาผู้อ่อนประสบการณ์กับบททดสอบแรก
เราต้องผ่านทางเข้าอุทยานส่งตั๋วที่ซื้อมาให้เค้าฉีกและตรวจพาสปอร์ตด้วย
รถมาจอดที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง เรานัดแนะวันกลับที่แน่นอนกับคนขับรถ
ยังไม่ทันจะได้วอร์มอัพอะไรทั้งนั้นแค่เนินทางขึ้นตอนแรกก็ชันเกือบจะเก้าสิบองศา
ใช้แรงมหาศาลในการไต่ขึ้นไปมาก เราเดินตามเส้นทางมาได้ซักพักเริ่มเห็นอาการ
ของแต่ละคน อย่างคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาเลยและเป็นครั้งแรกในการเดินขึ้น
แสดงอาการเหนื่อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทอม สภาพไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะต้องแบก
กระเป๋าเป้ที่มีทั้งเสื้อผ้าของตัวเองและของแพน ส่วนฉันที่ไม่ได้เดินขึ้นเขาหรือออกกำลังกาย
มาเป็นเวลานานๆอาการที่ออกมาคือเหนื่อยง่ายและกระหายน้ำบ่อย แต่ก็เริ่มจะชินกับอากาศบางๆ
ของพื้นที่แถบๆนี้เพราะอยู่มาหลายวัน หลายครั้งที่ฉันเริ่มท้อและอยากจะเดินกลับฉันจะพยายาม
นึกถึงการเดินขึ้นเขาครั้งแรกนั่นคือ"ภูกระดึง"ใช่ฉันคือผู้พิชิตภูกระดึง มันคงไม่มีอะไรลำบาก
ไปมากกว่าการเดินขึ้นเขาครั้งแรก กระเป๋าเป้หนักราวห้ากิโลกรัมที่ต้องแบกบนหลังเองก็มีส่วน
ทำให้ฉันเหนื่อยแทบขาดใจเหมือนกันเพราะฉะนั้นถ้าจะมาเดินแบกเสื้อผ้ามาให้น้อยที่สุด 
ไม่ได้ซกมกนะคะชุดเดียวใส่ไปเถอะ 2-3 วัน เหงื่อไม่ออกหรอก!! ดีกว่าต้องแบกของหนักๆเดิน




ระยะแรกๆค่อนข้างชิล


เริ่มจะไม่ชิลละ


พยายามจะเบี่ยงเบนชมความงามธรรมชาติ(รูปอาจจะน้อยเพราะยกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่ไหว เข้าใจเค้านะ)

ระยะปรับตัว
ทุกการกระทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเองไม่มีความคุ้นชินมาก่อนล้วนต้องมาระยะปรับตัวทั้งนั้น
ฉันเองก็กำลังอยู่ในระยะปรับตัว พยายามปรับทั้งท่าเดินทั้งการหายใจให้เป็นจังหวะเพื่อรักษาสมดุลร่างกาย
พวกเราทุกคนเริ่มมองหาไม้ค้ำเป็นขาที่สามในการช่วยพยุงร่างกายหนักๆขึ้นแต่ละเนิน พอเริ่มผ่านไปหลาย
กิโลเมตรร่างกายเองเริ่มปรับตัวได้มากขึ้นกว่าช่วงแรกๆ น่าอัศจรรย์เนอะว่ามั้ยที่ร่างกายหรือความรู้สึกของคนเรา
สามารถปรับสมดุลได้เองในระยะเวลาอันสั้น เราจึงเอาตัวรอดในสถานที่,สถานการณ์ที่เราไม่เคยประสบมาก่อน
แค่เพียงเราพบเจอมันบ่อยๆ ร่างกายและสมองจะจดจำและทำให้การกระทำสิ่งนั้นซ้ำเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
บางทีการปรับตัวสำหรับเดินขึ้นเขาก็คงจะคล้ายๆกับการคบใครซักคนนึง ฉันคิดเล่นๆเบี่ยงเบนความเหนื่อยระหว่างเดิน

เดินไปเรื่อยๆเจอกระท่อมชาวบ้านสำหรับนั่งพัก เราเอาขนมและผลไม้ต่างๆมาแบ่งกันกิน
พอนั่งพักได้ไม่กี่นาที อาเล่ยกับฮุ่ยฮุ่ยที่เป็นคนเดินนำตลอดทางก็บอกให้เรารีบเดินต่อ
เพราะต้องถึงหมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตก


หลบน้องม้าขาใหญ่


อาเล่ยจับมาให้ดู ว่าแต่ตัวอะไรเนี่ย??


สภาพเริ่มจะไม่ไหวกันแล้ว

ภูเขาร้องเพลงกับร้านค้าค่าครองชีพมหาโหด
สองสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่ฉันอยากกล่าวถึงทั้งสองเหตุการณ์เล็กๆที่พวกเราพบเจอ
สิ่งแรกคือเสียงเพลงจากภูเขา อยู่ๆก็มีเสียงเพลงดังลอยผ่านทิวกิ่งสนในป่าที่เงียบสงบมีแค่เสียงนกร้อง
เวลามีบทเพลงดังขึ้นจะได้ยินชัดเจนมากแม้ต้นเสียงจะอยู่ห่างไกล เราเดินไปเรื่อยๆพบต้นเสียงเป็นชาวบ้าน
กลุ่มเล็กๆเดินออกจากเขาเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องเดินเข้าเดินออกแทบทุกวัน ทุกคนร้องเพลงพร้อมๆกัน
ด้วยอารมณ์ดีไม่มีความเหนื่อยให้เห็นบนใบหน้า เดินผ่านพวกเราพร้อมทักทายอย่างสดใส"ทาชิดิเลค!!"
พวกเราทุกคนตอบกลับไป"ทาชิดิเลค!!" ดีที่ฉันหาข้อมูลภาษาทิเบตขั้นต้นก่อนออกจากบ้าน 
ทาชิดิเลคแปลว่า"สวัสดี" กลุ่มชาวบ้านแถบๆนี้ล้วนมีเชื้อสายมาจากทางทิเบตแต่มาตั้งรกรากในจีน
คงคล้ายๆคนไทยเชื้อสายจีนหละมั้งนะ ฉันจึงปิ๊งไอเดียว่าควรจะร้องเพลงไปด้วยเดินไปด้วยจะได้ลืมความเหนื่อย
(ที่ไหนได้คะ)หลังจากร้องเพลงไปเดินไปฉันคิดได้ว่า เดินอย่างเดียวให้รอดเถอะว่ะ!!

มาถึงอีกจุดนึงที่เป็นจุดพักห่างจากจุดแรกพอสมควร จุดนี้เป็นสถานที่ๆหฤโหดมากสำหรับค่าครองชีพ
พวกเราเอามาม่าออกมาเปิดฝาและใช้บริการซื้อน้ำร้อนจากร้านค้าในราคาห้าหยวนหรือยี่สิบบาท!!
ฉันเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าราคาน่าจะแพงเพราะขนส่งขึ้นมาลำบาก แต่มันไม่ได้แพงธรรมดานี่สิ
มันโ-ค-ต-ร-ะ แพงแลยโดยเฉพาะมาม่าที่คัพละยี่สิบหยวนหรือร้อยบาท(ดีนะที่เตรียมมาเอง)
ฉันไม่กล้าแม้แต่จะถามราคาน้ำเปล่าทั้งๆที่น้ำในขวดที่หิ้วมาเริ่มร่อยหรอและจะหมดในไม่ช้า
เพราะความไม่รู้ว่าต้องเดินอีกนานแค่ไหนเลยไม่ได้กะระยะของน้ำที่จะสำรองไว้ดื่ม

แพนบอกฉันว่าอีกไม่ไกลเราจะถึงยอดเขาแล้ว ฉันดีใจเนื้อเต้นที่จะได้หลุดจากนรกนี่ซักที
จินตนาการเอาเองว่าจะมีที่พักและน้ำดื่มให้บนยอดเขา แต่เปล่าเลย.......
หมู่บ้านไม่ได้อยู่บนยอดเขาแต่อยู่ด้านล่างเขาอีกฝั่ง ต้องเดินลงต่อไปอีกหลายกิโลเมตร
(น้ำตาตกในความหวังแตกเป็นเสี่ยง) โอ้ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยิ่งเดินไปเรื่อยๆอาการเหนื่อยล้าเริ่มชัดเจนขึ้น อากาศที่หนาวแห้งและเบาบางทำให้ฉันกระหายน้ำ
บ่อยมากขึ้น จากที่เคยกินน้ำเป็นอึกๆตอนนี้ทำได้แค่จิบเล็กๆเท่านั้นเพื่อให้น้ำเหลือไปถึงที่หมาย
ทั้งๆที่ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าน้ำจะหมดตอนถึงยอดเขาแน่ๆและฉันจะไม่มีน้ำดื่มอีก

 


แวะทักทายน้องม้า


เริ่มหายเหนื่อย


Half way


เดินลงซะที

คำที่พวกฉันได้ยินเกือบตลอดคือ"Are you okay?" เป็นคำที่พวกเราพูดด้วยกันบ่อยมาก
เราไม่เคยรู้จักกัน จับพลับจับผลูมาร่วมเดินทางด้วยกันจนกลายเป็นเพื่อนกัน
ความเป็นห่วงไปใยเริ่มเข้ามาทำหน้าที่กีดกันเชื้อชาติที่แตกต่าง ฉันซึ้งมากๆตรงที่อาเล่ย
เอาน้ำมากรอกให้ทุกคนคนละนิดทั้งๆที่ตัวเองเหลือน้ำไม่มากเป็นน้ำดื่มเล็กน้อย
ที่เปี่ยมด้วยน้ำใจมหาศาลของอาเล่ยกับฮุ่ยฮุ่ย


มีวิวของภูเขาหิมะเหมยลี่เคียงข้างตลอดการเดินลง


ทางเดินลงบางช่วงก็โหดใช่ย่อย ชันจนต้องใช้มือตะกายดินเพื่อเดินลงไป


Yubeng villange

ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระตุ้นให้ตัวเองเดินไปให้ถึงหมู่บ้าน น้ำดื่มหมดขวดมาซักพัก
ปากเริ่มฉันแห้งยิ่งกว่านั้นคืออาการคอแห้งผาก การขาดน้ำในที่สูงระดับนี้ค่อนข้างอันตราย
กระนั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้ตัวเองที่เป็นผู้หญิงถึกๆมาแต่ไหนแต่ไร จึงรอดจาก
เหตุการณ์ครั้งนี้มาได้

ก่อนทางเข้าหมู่บ้านจะมีเค้าเตอร์เก็บเงินค่าเข้าราคาห้าหยวน(อะไรๆก็เป็นธุรกิจสินะ)
ระหว่างที่เราเดินลงกันบ่อยครั้งที่ต้องหยุดให้น้องม้าเดินผ่านกันไปก่อน เพราะน้องม้า
ส่วนใหญ่จะขนของชิ้นเบ้อเริ่มมันอาจจะฟาดโดนเราได้ ช่วงนี้ฉันพลาดเองที่ไม่ได้เอา
ผ้าปิดปากออกมาจากโรงแรม น้องม้าเดินทีฝุ่นตลบที


แม้ว่าจะเหนื่อยหนักร่างแตกแค่ไหน งานส่องผู้ชายต้องมาพี่เสื้อน้ำเงินหุ่นดีย์เสื้อยืดปริอ่ะปลื้ม


ต้องพักที่นี่สองคืน


ภาพจากหน้าต่างห้องพัก

วันนี้เราเริ่มเดินกันตั้งแต่ประมาณ 9.00 น. ถึงจุดหมาย 19.00 น.
โอ้!!! เดินกันร่วมๆสิบชั่วโมงไม่รู้ว่ารอดมาได้ไง พอถึงเกสเฮ้าส์
เจอคุณเจ้าของมาดเท่ออกมาต้อนรับ ลักษณะเป็นชายวัยสามสิบปลายๆ
ตัวสูงราวๆ180 ใส่กางเกงยีนส์รอง เท้าหนัง เสื้อเชิ้ตและหมวกคาวบอยปีกกว้าง เท่สัส!!
นึกว่าเป็นพระเอกหนังคาวบอยหลุดออกมา แถมอัธยาศัยดีถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเลยก็ตาม
คุณเจ้าของสุดเท่รีบให้คนงานเอาน้ำชามาต้อนรับพวกเราสำหรับฉันที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นชั่วโมง 
น้ำชาร้อนๆสักสองสามแก้วกลายเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ฉันรีบดื่มแล้วขอเติมอีกแก้ว
ชาร้อนธรรมดามันอร่อยมากจริงๆตอนที่เราอดน้ำมาหลายชั่วโมง

พวกเราไปเดินดูห้องพักหลังจากดื่มชาพักเหนื่อยเสร็จแล้ว โทมะโทะเจรจาเลือกห้องให้ฉัน
จนได้ห้องรวมมาในราคาคืนละ 40 หยวน(แอบแพง) ที่ราคาสูงเพราะว่าวิวจากหน้าต่างห้อง
สามารถมองเห็นภูเขาหิมะได้ ฉันต้องนอนกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนึง เพราะเพื่อนคนจีนที่มาด้วยกัน
ทุกคนมาเป็นคู่ๆ แต่ละคู่คงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวนอนด้วยกันคุยกัน(รู้สึกตัวเองเหมือนเนื้องอกฮ่าๆ)

 


เดินสำรวจเกสเฮ้าส์ขึ้นมาบนด่านฟ้า ลมพัดแรงแถมหนาวมากอยู่ได้แปปเดียวต้องรีบหนี


วันพรุ่งนี้ต้องเดินไปที่ภูเขาลูกนี้


หมู่บ้านล้อมรอบด้วยภูเขาภาพตรงหน้าเหมือนเทพนิยาย


ดินเนอร์ใต้แสงเทียนเพราะคืนนี้ไม่มีแสงไฟฟ้า


ข้าวผัดอะไรก็ไม่รู้ ใส่ผักยั้วเยี้ย ฉันพยายามจะทำใจกินกันตายแต่มันไม่ไหวจริงๆ


ไม่ต้องสงสัยว่าชามที่เหลือคือชามของใคร

ตอนประมาณสองทุ่มเวลาประเทศจีนฟ้าเริ่มมืด พวกเรามานั่งที่ห้องๆนึงของเกสเฮ้าส์
ในห้องประดับด้วยขนสัตว์ต่างๆและศิลปะแบบทิเบต มีโต๊ะกินข้าวแบบง่ายๆ
คืนนี้ระบบไฟเกิดปัญหาทำให้ไม่มีไฟฟ้าใช้ และน้ำจะมาเป็นเวลาไม่ได้มีตลอด
น้ำไม่เพียงพอต่อการใช้อาบสามารถใช้ได้แค่ล้างหน้าและล้างเท้า มีน้ำอุ่นบริการ
ความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก จนมาถึงมื้อเย็นเป็นมื้อที่ฉันคาดหวังที่สุด
เพราะทั้งวันฉันต้องกินแต่ขนมปังกับฮอทด๊อกรสชาติแปลกๆ อยากกินข้าวบ้างอะไรบ้าง
เมนูที่เราสั่งมาคือข้าวผัด ฉันวาดภาพข้าวผัดในหัวไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้ๆแน่เลย

พออาหารมาถึงโต๊ะถึงกับผงะข้าวผัดใส่เผือกด้วยอ่ะ และก็มีผักหลายชนิดจิปาถะ
ฉันเป็นเด็กที่โตมากับอาหารตามสั่ง แทบจะกินผักแปลกๆไม่เป็นเลย ได้แต่นั่งเขี่ยๆ
เสียดายก็เสียดายหิวก็หิวข้าวจานละตั้งยี่สิบหยวนหรือร้อยบาทแหนะ 

บรรยากาศการกินข้าวรวดเร็วฉับไวปานสายฟ้าแลบ ทุกคนซัดกันเสียงซี้ดซ้าด
ราวกับอดอยากมาเกินหนึ่งวัน คนไทยอย่างฉันใช้ตะเกียบไม่ถนัดเท่าไรในการคีบข้าว
ก็ค่อยๆคีบกินทีละนิดกลายป็นว่ากินช้าที่สุดในกลุ่มและเหลือด้วย อายจัง

หลังจากเรากินข้าวเสร็จก็เริ่มเข้าประชาคมเม้าท์มอยซอยเก้า แลกเปลี่ยนภาษากันบ้าง
สวัสดีไทยจีน บอกรักจีนไทย ผสมปนเปมั่วเมี่ยไปหมด แพนถามฉันว่าเรียนอะไรทำงานอะไร
ฉันก็แนะนำตัวว่าตัวเองเป็นนักร้องเรียนจบด้านดนตรีตะวันตก ทุกคนงี้กรี้ดกร๊าดบอกว่าอยากฟัง
ร้องให้ฟังหน่อย สภาพตอนนั้นเสียงแทบไม่มีฉันเลยเปิดเพลงที่ฉันร้องอัดไว้ใน Soundcloud
ให้ทุกคนฟัง ทุกคนฟังอย่างตั้งใจพอเสียงเพลงจบเสียงปรบมือดั่นทุกคนร้องกัน ว๊าววว 
ฉันเงี้ยเขิลแทบจะเอาตัวมุดลงดิน หลังจากนั้นเราก็ฟังเรื่องเล่าของฮุ่ยฮุ่ยเกี่ยวกับสิบสองปันนา
ซักพักโปเตโต้ก็เปิดมุขตลกบางอย่างขึ้นทุกคนหัวเราะกันกระจาย ทอมกระซิบบอกว่านี่เป็น
ไชนิสโจ๊กหน่ะ ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าพวกเค้าหัวเราะอะไรกันแต่ฉันเองก็อดที่จะกลั้นขำไม่ได้
วันนี้กำแพงทลายลงเรียบร้อย กำแพงของคนที่ไม่รู้จักกัน กำแพงของเชื้อชาติ พวกเรากลาย
เป็นเพื่อนที่สนิทกันและพร้อมที่จะเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในวันพรุ่งนี้ 

ฉันนอนคิดไปเรื่อยๆแล้วหลับไปอย่างมีความสุข

 

ภารกิจตามหาน้ำตกศักสิทธิ์

23.04.14
วันนี้ตามเวลาที่ทุกคนนัดกันคือ 10.00 น. เพื่อจะเดินทางไปน้ำตกศักสิทธิ์(Sacred Waterfall)
ฉันแอบตื่นก่อนเวลา เดินสำรวจทิวทัศน์รอบๆเกสเฮ้าตอนเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด 
มันเป็นเช้าที่อากาศหนาวพอประมาณ มีแสงแดดสาดส่องให้ร่างกายอบอุ่น เสียงสายลมพัด
ได้ยินชัดเจนผสมปนเปกับเสียงนกเจี้อยแจ้วจากป่าลึก เป็นเสียงที่ไพเราะหาฟังในชีวิตประจำวันแทบไม่ได้เลย
พอถึงเวลานัดทุกคนพร้อมฉันพร้อม เราเอาเสบียงคือมาม่าคัพและขนมต่างๆที่ซื้อมาเมื่อวันก่อนเอามากิน
เป็นข้าวเที่ยง มาม่าของฉันหมดแล้วมื้อนี้จึงเป็นทีของไข่สำเร็จรูปที่ไม่รู้ว่ามันคือไข่จริงหรือไข่ปลอม
แต่เอาเถอะเค้าขายเพื่อให้คนซื้อกินแสดงว่ามันต้องกินได้ คิดในแง่ดีเข้าไว้


ห้องอาหารสุดหรูของที่พักพวกเราใช้วางแผนไปพลางจิบชาไปพลาง


หมู่บ้านมีสองส่วนคือด้านบนและด้านล่าง ทั้งสองส่วนมีสะพานข้ามลำธารเชื่อมไว้


เราต้องเดินผ่านหมู่บ้านด้านล่าง


ที่นี่ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำการเกษตร ล่าสัตว์ป่า ใช้ม้าเป็นพาหะนะ


เหมือนคนละโลกกับกรุงเทพเลย


สถูปกลางหมู่บ้าน พวกนางบอกให้วนสามรอบ


ที่แบบนี้ไม่น่าจะมีน้ำประปาชาวบ้านคงใช้น้ำจากลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้าน

 


น้ำจากลำธารก็มีต้นน้ำมาจากธารน้ำแข็งของภูเขาหิมะ ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์


กรี้ด!! ขอเซ็นเซอร์หน้าตัวเองนะคะรับไม่ได้กับสภาพโทรมๆเวลาแอดเวนเจอร์


สวัสดีค่ะ!! พี่ม้าว่าคิดว่ายังไงกับโชว์นี้คะ? เฮ้ย!!!คนละม้า


ฉันมารอพี่ที่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ทุกวันเลย(ทำเสียงแบบนางเอกซีรี่ย์เกาหลี)


ประเทศแถบเอเชียจะมีวัฒนธรรมการเรียงหินเป็นชั้นๆ แปลกดีที่เราอยู่ไกลกันที่เชื่ออะไรคล้ายๆกัน


ลุงต้นไม้สูงใหญ่เยอะมากทำให้คนที่มาที่นี่ขนานนามว่าเป็นป่าบริสุทธิ์


ชื่นชมทางอุทยานอย่างนึง ถึงแม้ที่นี่จะอยู่กลางป่ากลางเขาแต่มีถังขยะแทบทุกๆ 100 เมตร


เสื้อกันหนาวเช่าสีแดงที่ฉันติดมาด้วยได้ใช้ประโยชน์ตอนเข้าใกล้ภูเขาหิมะ

เคยชิน
การเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆทำให้ฉันลืมความเหนื่อยจนหมดสิ้น ทั้งที่จริงแล้ว
วันนี้เราเดินกันหลายกิโลเมตรแต่ทางไม่ได้หนักหนาอะไรมากมายมีเนินขึ้นลงให้เหนื่อยนิดหน่อย
นอกนั้นก็เป็นทางตรง แต่อาการล้าจากเมื่อวานดันมาสมทบเอาวันนี้เนินบางเนินไม่ได้สูงไม่ได้ชัน
แต่ไม่มีแรงจะเดินขึ้น ยิ่งช่วงท้ายๆก่อนถึงน้ำตกนี่เจอหลายเนินชันมากๆขึ้นเนินนึงพักครั้งนึง

เราพักกินข้าวเที่ยงเรียกพลังงานกันที่กระท่อมเล็กๆ ผิงไฟจากกองไฟของเจ้าของร้านซื้อน้ำอุ่น
ใส่มาม่านั่งกินไปชมภูเขาหิมะไป นี่ฉันมากินมาม่าท่ามกลางทิวทัศน์สวยงามขนาดนี้เลยหรอเนี่ย!!
หลังจากพวกเราทุกคนกินข้าวกินขนมแบ่งๆกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเศษถุงพลาสติคที่ทุกคนกินแล้ว
โยนทิ้งตรงนั้นด้วยนิสัยเคยชินของคนจีน แต่ฉันกลับรู้สึกผิดมากๆด้วยนิสัยเคยชินของคนไทย
เราควรทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทางและยิ่งในสถานที่ทางธรรมชาติสวยงามขนาดนี้ถ้ามีถุงขยะปลิวไปมา
ความงามคงลดลงแน่ๆ เห็นดังนั้นฉันจึงก้มลงเก็บเศษขยะของฉันและทุกคนไปทิ้งในถัง กลายเป็นว่า
เพื่อนคนจีนบางคนเริ่มทำตาม แอบดีใจที่ฉันได้ช่วยเหลือทิวทัศน์ตรงนี้ไว้


กระท่อมบังลมหนาว


ถูกโอบกอด


ใหญ่โต มองจากตรงนี้เหมือนจะโดนดูดกลืน


เจอขาใหญ่ประจำถิ่นแล้ว


ความรู้สึกตรงนี้ภาพถ่ายอธิบายแทนได้แค่ 1 ส่วน 4


พอจะเห็นทางเดินมั้ย?


มุมเท่ๆของแพน


Take a break เริ่มหมดสภาพ


ดอกไม้ภูเขา & ธงมนต์


ยินดีต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ


ดอกอะไรก็ไม่รู้ น่ารักดี


และแล้วพวกเราก็มาถึงน้ำตกจนได้ หอบไปหลายตลบ


ขอยืนเก๊กสวยแปป (ที่เห็นป่องๆนี่เสื้อกันหนาวนะจ๊ะ ไม่ได้อ้วนขนาดนั้น)


พิชิตแล้วภูเขาเหมยลี่ สถานที่รอบตัวมันยากที่จะหาคำมาอธิบายความสวยงามและยิ่งใหญ่ ให้ภาพอธิบายแทนดีกว่า


และนี่คือโฉมหน้าของน้ำตกศักสิทธิ์ที่ทุกคนเอาขวดไปกรอก


ตอนฉันเข้าเอาขวดไปรองมือชาเลย น้ำเย็นโคตร


อยู่ได้พักนึงก็ต้องกลับเพราะอากาศหนาวมาก

ศาลาคนเศร้ามุมระบายปัญหาชีวิตของคนโสด
มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นกับฉันที่น้ำตกแห่งนี้ อันที่จริงอาจจะร้านแรงในทางจิตใจมากกว่า
สังเกตุมั้ยว่าทุกคนมาเป็นคู่เวลาทำกิจกรรมพวกนางจะแยกไปเป็นคู่ๆ แล้วฉันหละ แล้วฉันหละคะ
ต้องนั่งโดดเดี่ยวคนเดียว เริ่มจากคู่ทอมกับแพนสองคนนี้ปลีกตัวออกไปแล้วจับมือเหมือนทำสัญญาอะไรกัน
สัญญานั้นคงเกี่ยวกับความรักของทั้งคู่หละมั้ง ซักพักสองคนนี้จูบกันอย่างดูดดื่มกรี้ดดดดดดดดดดดดดดดด
พวกเธอจะทารุณกับคนโสดเกินไปแล้วนะฉันที่ไม่ได้ตั้งใจแอบมองดันเหลือบไปเห็นพอดีถึงกับขนลุกขนชัน
อะไรจะหวานปานนั้น ด้านโทมะโทะกับโปเตโต้ก็ไม่น้อยหน้าสองคนนี้จับมือกันเดินวนลานหน้าน้ำตกสามรอบ
เพื่อให้เกิดโชคลาภ จับมือกันเดินคุยกระกระจุ๋งหนุงหนิง นี่ก็เป็นอีกคู่ที่คนโสดมองแล้วอยากจะเอาหัวโหม่งธารน้ำแข็ง
ฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด สุดท้ายอาเล่ยไม่สบายนิดหน่อยฮุ่ยฮุ่ยให้อาเล่ยนอนพักหนุนตักแล้ว กรี้ดดดดดดดดดดดดด

ให้ตายเถอะ!!! เห็นใจคนโสดบ้างเห็นหัวชั้นบ้าง คนไม่มีแฟนยืนเป็นหลักเป็นตออยู่ตรงนี้
พวกเธอสวีทกันไม่เกรงอกเกรงใจฉันเลย ฮือๆๆ 


ป่าบริสุทธิ์ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ


มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้สูงๆ


ตอนนี้ประมาณ 6 โมงเย็น

และแล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ขาทุกคู่ของคนทั้งเจ็ดเริ่มสาวเท้าจ้ำอ้าวไวขึ้น เมื่อหัวหน้าทีมอย่างอาเล่ยบอกว่าเราต้องรีบทำเวลา
ตอนนี้ฟ้าเริ่มครึ้มหิมะอาจจะตกลงมา มันไม่ใช่เเรื่องเล่นๆถ้าเราเจอกับพายุหิมะแรงๆกลางป่าแบบนี้
"เราจะไม่พักกันอีกแล้ว พยายามแข็งใจเดินหน่อย" ทอมเสริมขึ้นมา ถึงทอมกับอาเล่ยจะบอกให้รีบ
แต่ขาของโทมะโทะ,โปเตโต้และฉันคงจะสู้ไม่ไหว พวกเราสามคนรั้งท้ายเพราะแอบนั่งพักจนระยะห่าง
ระหว่างพวกเราสามคนกับคนข้างหน้าเริ่มมากขึ้น มากขึ้นจนคลาดสายตาไปในที่สุด และระหว่างที่ฉัน
เดินนำทั้งสองคนอยู่นั้นได้ยินเสียงกรีดร้อง ฉันรีบหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้นพบโทมะโทะนอนอยู่กับพื้น
เธอสะดุดตกจากเนินสูง ด้วยความตกใจเลยรีบวิ่งเข้าไปไถ่ถามอาการ เธอร้องให้น้ำตาไหลแต่กลับบอกว่า"ไม่เป็นไร"
ฉันกับโปเต้สองคนทำอะไรไม่ถูก ณ ตอนนั้นคิดได้แค่ว่าต้องขอความช่วยเหลือแต่จะทำยังไงหละ
โทมะโทะพยายามจะลุกขึ้นเดินแต่แล้วเธอก็ทรุดเพราะไม่สามารถใช้เท้าแบกน้ำหนักตัวได้
ฉันเลยอาสาว่าจะไปตามคนอื่นๆมาช่วย ให้ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่ หลังจากนั้นไม่รู้จะเรียกว่าวิ่งชิงแชมป์ได้รึเปล่า
ทางไกลและเดินลำบากฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองวิ่งเร็วมาก จนเจอกลุ่มข้างหน้าและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

ทุกคนรีบกลับมาดูอาการของโทมะโทะด้วยความเป็นห่วง โชคดีที่อาเล่ยมีความสามารถด้านการเอาตัวรอดในป่าสูง
เค้ารู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น อาเล่ยลงมือเอาเศษผ้าชุบกับน้ำศักสิทธิ์ที่เรากรอกมาซึ่งมันเป็นน้ำเย็น พอจะเดาๆได้ว่า
ทำให้ขาชาแล้วหาเศษไม้มาดามไว้ ขั้นต่อมาคือเราจะกลับที่พักกันยังไงทางอีกตั้งเป็นกิโล ฉันถามตัวเองในใจ
อาเล่ยอาสาให้โทะมะโทะขี่หลัง เป็นผู้ชายเท่ๆมาดแมนที่ดูจะเก่งไปซะทุกด้านแต่เรื่องนี้ฉันคิดในใจว่ามันคงยากจริงๆ
เพราะถึงอาเล่ยจะดูแข็งแรงยังไง ตอนนั้นอาเล่ยเองก็มีไข้ไม่สบายแถมต้องแบกผู้หญิงหนักห้าสิบกว่าๆไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โทมะโทะเองก็ปฏิเสธที่จะให้อาเล่ยแบก เถียงกันไปมาสุดท้ายก็หมดหนทางตกลงกันว่าผู้ชายสองคนอาเล่ยกับทอมจะผลัดกัน
ทั้งสองคนผลัดกันแบกโทมะโทะไปเรื่อยๆจนถึงหมู่บ้าน ความสำเร็จขั้นแรกที่ออกจากป่ามาได้แต่เราก็ต้องพบกับอีกด่านที่ยาก

ที่พักของพวกเราไม่ได้อยู่ในส่วน Lower แต่อยู่ใน Upper หมู่บ้านมีสองส่วนส่วนบนจะต้องเดินขึ้นเนินลาดชันมากและนั่นแหละ
อาเล่ยกับทอมเองก็ดูสภาพไม่น่าจะไหวแล้ว สถานการณ์ตอนนั้นกดดัน ซีเรียส แต่ละคนสีหน้าไม่ดีส่วนฉันเองก็กลัวและทำอะไรไม่ถูก
ระหว่างที่อาเล่ยกับทอมพักอยู่ ฉันเลยอาสาแบบแมนๆว่าอยากจะลองแบกโปเต้ดู(และก็แบกไม่รอด)เลยทำหน้าที่ช่วยถือของให้
ไม่เท่เลยแฮะ!! ระหว่างที่พวกเราเดินเข้าไปในหมู่บ้านทุกคนต่างพยายามขอความช่วยเหลือ.....ไม่มีความช่วยเหลือเกิดขึ้น
โปเต้พยายามจะขอม้าขี่ไปอีกฝั่ง ชาวบ้านเหมือนจะปฏิเสธ ที่น่าหดหู่ที่สุดคือเราเดินผ่านบ้านหลังนึงมีผู้ชายหลายคน
กำลังเล่นไพ่หรืออะไรซักอย่างและมีมอเตอร์ไซต์จอดอยู่ โปเต้จึงวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือแต่ดูเหมือนเราจะถูกปฏิเสธอีกครั้ง
ที่เลวร้ายกว่าที่ฉันคิด ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจภาษา ผู้ชายกลุ่มนั้นออกมามุงดูพวกเราโดยที่ไม่ช่วยและหัวเราะขบขันเป็นภาพที่แย่ที่สุด
โปเต้ตะโกนด่าทอเป็นภาษาจีนออกไปด้วยความโมโห ฉันรีบจับแขนและบอกให้ใจเย็นในใจตอนนั้นกลัวมากเราอยู่กลางภูเขา
บ้านป่าเมืองเถื่อน ที่นี่ไม่มีตำรวจหรือกฏหมายใดๆทั้งนั้น ไม่มีหน่วยฉุกเฉิน คงจะเป็นเรื่องใหญ่โตถ้าเราเกิดไปทำให้เจ้าถิ่นโกรธขึ้นมา
เค้าจะทำอะไรกับเราก็ได้รึเปล่า? "ถ้าที่นี่เป็นประเทศไทยอย่างน้อยจริงๆคงจะมีใครซักคนยื่นมือแเข้ามาช่วยแน่ๆ" ฉันคิดถึงบ้าน


เนินสุดท้ายก่อนถึงที่พัก

ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดี
เดินไปเรื่อยๆในหมู่บ้าน เราเริ่มกระจายกันขอความช่วยเหลือจากกลุ่มหนุ่มทิเบตอีกลุ่ม
และมีคุณลุงคนนึงอาสาช่วยแบก ฉันที่กำลังจะมองหมู่บ้านนี้ในแง่ร้ายสุดๆจากเหตุการณ์เมื่อครู่
ต้องเปลี่ยนความคิดกลับมา แน่นอนว่าคนแค่กลุ่มเดียวไม่สามารถตัดสินคนทั้งหมู่บ้านได้
คุณลุงมีโทรศัพท์โทรเรียกเจ้าของที่พักให้และเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง คุณเจ้าของบอกว่าจะรีบออกมารับ
หมู่บ้านที่ไฟติดๆดับๆ น้ำประปามีเป็นเวลา ไม่มีโรงพยาบาลหรือคลินิคชุมชน แต่ที่นี่กลับมีสัญญาณ
โทรศัพท์ละอินเตอร์เน็ต จะว่าดีก็ดีนะคนที่นี่จะได้ติดต่อกับโลกภายนอกได้

คุณเจ้าของที่พักมาดเท่มารับเราที่สะพานข้ามแม่น้ำที่กั้นระหว่างสองหมู่บ้าน ทันทีที่คุณจ้าของที่พักมาถึง
ก็ยิงมุขอะไรบางอย่างทำให้บรรยากาศเครียดๆเมื่อตะกี้สดใสขึ้นมานิดนึง คุณเจ้าของที่พักไม่รอช้าแบก
โทมะโทะขึ้นหลังแล้วเดินขึ้นเนินอย่างทะมัดทะแมงแค่ไม่กี่ก้าวต่อมา หมดสภาพ!!! ฮ่าๆมาดเท่หายหมดเลย
แต่ก็เข้าใจอ่ะนะ เนินมันชันจริงๆฉันเดินขึ้นหอบแล้วหอบอีกแทบจะไม่ไหว ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่พัก
โดยสวัสดิภาพ เย้!!!!! คุณเจ้าของที่พักไปตามชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆซึ่งทำอาชีพนวดคลายเส้นมานวดรักษาอาการ
พร้อมยิงมุขไม่ยั้งเพื่อสกัดกั้นความเครียดของพวกเราทุกคน "เค้าตลกมาก"ทอมพูดให้ฉันฟัง ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ
มุขตลกแต่ก็รู้สึกโล่งอกที่ทุกคนหน้าตาสดใสขึ้น

ฉันกับโทมะโทะมานั่งกันอยู่ในห้องอาหาร โทมะโทะแช่ขากับน้ำร้อนเพื่อรักษาอาการปวด ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว
และอีกกลุ่มไปหาวัถุดิบมาทำอาหารเย็นเพื่อลดค่าอาหาร ระหว่างที่นั้นฉันนั่งอยู่เป็นเพื่อนกับเธอฉันยังคงไม่รู้จักชื่อเธอ
สาวแว่นดูเนิร์ดๆแนะนำตัวว่ามากจากชางไห่ ฉันเลยตั้งชื่อให้เธอว่า Tomato เพราะแฟนของเธอแนะนำตัวว่า Potato
"ชื่อนี้เหมาะดีนะฉันเรียกเธอแบบนี้ได้มั้ย" สาวแว่นพยักหน้าแล้วยิ้มด้วยความยินดี เธอบอกว่าอยากมาเที่ยวประเทศไทย
ถ้ามีโอกาสอยากไปที่ปาย เราแลกอีเมล์กันเผื่อว่าเธอมาฉันจะได้อาสาเป็นไกด์ให้ได้ เป็นบรรยากาศน่ารักมากๆ

คืนนั้นทุกคนมารวมตัวกันอากาศค่อนข้างเย็นมากๆ สั่งกับข้าวจากวัถุดิบผักแบบแปลกๆที่อาเล่ยกับฮุ่ยฮุ่ยๆเก็บมา
ฉันไม่อยากกินผักแปลกๆพวกนี้เลยสั่งเป็น ข้าว+ไข่+หมู ผัดกันโดยให้เพื่อนคนจีนสั่งให้พร้อมกับเคอเล่อ(โคล่า)
มื้อนี้ ข้าวถ้วยละ 25 หยวน และโคล่า 8 หยวน ฉันยอมจ่ายดีกว่าจะต้องกินอะไรแปลกๆหรือกินมาม่าอีก
คืนนั้นเป็นอีกคือที่ฉันจะจดจำไปตลอดชีวิตเลย "นัท เธอเก่งมากเลยรู้มั้ย? เธอเชื่อใจพวกเราและมากับเราทั้งที่ไม่รู้จักกัน"้
แพนพูดกับฉัน ฉันได้แต่ยิ้มแบบเขิลๆพร้อมขอบคุณสำหรับคำชม "ทุกคนเองก็เก่งมากที่วันนี้เราผ่านปัญหามาได้" ฉันเสริมขึ้น
หลังจากนั้นทุกๆคนก็คุยกัน ถ่ายรูปกัน เป็นคืนที่อากาศหนาวแต่รู้สึกอบอุ่นที่สุด พอจบมื้อค่ำเวลาล่วงเลยมาถึง 3 ทุ่มกว่าๆ
ทุกคนเดินออกมาด้านนอกพร้อมแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีดาวเต็มไปหมดราวกับว่าถ้าเอื้อมมือออกไปจะคว้าเอามาได้
ฉันไม่เคยเห็นดวงดาวใกล้ขนาดนี้มาก่อน อาจจะเพราะว่าเราอยู่สูงหรือเพราะเราได้ดูดาวกับคนที่มีความหมายกันนะ
ดวงดาวในคืนนี้เลยสวยเป็นพิเศษ


มื้ออบอุ่น


มิตรภาพดีๆที่ฉันจะจดจำตลอดไป

 

กลับหลังหัน

24.04.14
เช้านี้เป็นเช้าที่เราทั้งห้าคนต้องเดินทางกลับไปที่ชุมชนวัดเฟยไหล อีกสองคนคือฮุ่ยฮุ่ยกับอาเล่ย
จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเทร็คกิ้งไปอีกสถานที่นึง ทำให้ต้องเกิดการบอกลากันในตอนเช้า........

เช้านี้โทมะโทะที่ขาเจ็บจำเป็นต้องขี่ม้าออกจากภูเขาโดยเสียค่าขี่ม้าราคาแพงกระเป๋าฉีก
แลกกับความสะดวกสบาย ตอนแรกทุกคนลงความเห็นว่าจะขี่ม้ากันแต่ดันมีนังแกะดำคือฉันนี่แหละ
ที่บอกว่าอยากเดิน(เงินในกระเป๋าเหลืออีกไม่มากกลัวไม่พอกลับบ้าน) สุดท้าย ทอม แพน โปเต้
ก็มาเดินเป็นเพื่อนฉัน(รู้สึกผิดจัง) แต่ทุกคนฝากกระเป๋าไปกับน้องม้าโดยเสีย 20 หยวน 
ก็มีฉันอีกนั่นแหละที่เหนียวไม่ยอมฝากกระเป๋ากับม้า อยากจะประหยัดให้ได้มากที่สุด
ซึ่งขาเดินออกก็นรกพอๆกับตอนเดินเข้ามา แถมหิมะซ้ำเติมตกลงมาซะงั้นแทนที่ฉันจะวิ่งไปหลบ
ในขณะที่คนอื่นๆผิงไฟกันในจุดพัก คนไทยที่ไม่เคยเห็นหิมะตกรีบปรี่เข้าไปกลางหิมะหมุนตัวไปมา
ราวกับนางเอกซีรี่ย์เกาหลี หิมะเพิ่งเริ่มตกคาดว่าคืนนี้คงจะตกหนักเราเลยรีบๆเดิน พอเดินจน
เกือบจะถึงทางออกจากภูเขาฝนตกลงมาห่าใหญ่ ตกเสร็จแถมแดดเปรี้ยง เจอทุกสภาพอากาศจริงๆ
ตอนพิมพ์เหมือนแปปเดียวแต่จริงๆแล้วใช้เวลาเดินทั้งวันกว่าจะออกจากภูเขาได้ก็ตอนเย็นๆนู่นเลย

ออกมาได้ก็เจอคุณพี่คนขับรถมารอรับ เพราะเราโทรบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ค่ารถอาจจะต้องเพิ่มนิดหน่อย
อุดในส่วนของคนที่หายไป คืนนั้นเรากลับมาถึงเฟยไหลและเปลี่ยนที่พักเพราะทอมบอกว่าจะมีที่พัก
ที่ถูกกว่านี้ ที่พักนี้ฉันไม่ได้ถ่ายรูปไว้จริงๆราคาแค่คืนละ 20 หยวนนอนหลับสบายมาก ทุกคนไปนอนห้องเดี่ยว
มีฉันที่นอนแบบ Dorm ตอนแรกคิดว่าจะนอนคนเดียวอีกแล้วเพราะไม่มีใครมาเลย ซักสองทุ่มก็มีคนจีนเข้ามา
เช็คอินเตียงข้างๆคนนึง โล่งใจมาก(กลัวเวลานอนในห้องกว้างๆเตียงเยอะๆคนเดียว)

เย็นวันนั้นกับข้าวอร่อยที่สุดในโลก ที่พักมีเมนูอาหารให้บริการ และยังได้อาบน้ำอุ่น เล่นไลน์หาที่บ้าน
รู้สึกเหมือนรอดจากสงครามจากที่ไม่ได้อาบน้ำมาตั้ง 2 วัน อาหารก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง


ชานมยี่ห้อนี้มีกลิ่นแปลกๆ รสชาติสู้ขวดก่อนๆไม่ได้


จานนั้นคืออะไรไม่รู้ เนื้อหมูปล่าวก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าอร่อยน้ำตาจะไหล


มันสุขมากอ่ะ หลังจากเหนื่อยมาหลายวัน อากาศหนาวหิมะตกกับข้าวสวยอุ่นๆ กับข้าวอร่อยๆโอ้ย!!เกินบรรยาย

 


งานนี้ทุกคนไวมากจริงๆ


ของหวานปิดท้ายคืนนี้ด้วยนมเปรี้ยวที่โปเต้แนะนำว่า รสนี้อร่อยที่สุด อร่อยจริงๆกลิ่นหอมมาก

ตอนแรกว่าจะออกไปดูคาวาคาโป แต่ท่าไม่ค่อยดีเพราะหิมะเริ่มตก ลมแรง
อากาศอยู่ในระดับเยือกแข็ง ตอนนี้ฉันไม่มีเสื้อตัวใหญ่ๆแล้วด้วยเพราะคืนไปแล้วตอนมาถึง
คืนนั้นไลน์กลับมาหาแม่ส่งโลเคชั่นด้วยว่าอยู่ที่ไหน แม่ตกใจมากไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้


อันนี้แค๊ปตอนกลับมาไทยแล้ว

ชอบงานเขียน "Share"หรือ"Like" ให้กำลังใจได้นะคะ

การเดินทางอื่นๆอีกมากมายที่ : http://meledy.bloggang.com

Follow,ฟังเราบ่น,ถามข้อมูล,เป็นเพื่อนกัน จิปาถะ

ด้ที่ : https://www.facebook.com/natcha.roungsuti

 

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ชอบการเดินทางของเราไลค์และแชร์

ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ 

 

เนื้อหาโดย: coconutza
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
coconutza's profile


โพสท์โดย: coconutza
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ตำรวจเตือนหญิงขับสกุ๊ตเตอร์ไฟฟ้าขึ้นถนนใหญ่ เจอสวนกลับ ถ้าห้ามขับไปบอกร้านว่าห้ามขายสิ"อย่ากินถ้าไม่รู้! 'ผัก 4 ชนิด' คร่าชีวิตชายวัย 41 หมอเผยต้นเหตุอันตราย"เพจดัง เเฉ แก๊งทริปน้ำไม่อาบชนพระเเล้วหนี้เหยื่อปลัดสาวเมาขับ เสียชีวิตเพิ่มปลัดสาวเมาขับ ชนเด็กเสียชีวิตชายฉกรรจ์ที่บุกถีบพระปีนเสาหลังจากออกอากาศในรายการดังนั้น เป็นลูกศิษย์ของหลวงพี่น้ำฝน ซึ่งตอนนี้รู้ตัวแล้วตำรวจสกัดจับกลุ่ม ทริปน้ำไม่อาบเมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงเสียชีวิตลงในฐานะคนธรรมดา รัฐบาลจีนนำไปฝังไว้ที่สุสานจักรพรรดิ ยังความไม่พอใจบางกลุ่มจับแก๊งค้ารถเถื่อนเพจ 'เจ้าชาย รถหลุด'เปิดโลกหมึกดัมโบ้ เจ้าสัตว์ทะเลสุดน่ารักที่เหมือนหลุดจากการ์ตูนดิสนีย์
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เหยื่อปลัดสาวเมาขับ เสียชีวิตเพิ่มเปิดโลกหมึกดัมโบ้ เจ้าสัตว์ทะเลสุดน่ารักที่เหมือนหลุดจากการ์ตูนดิสนีย์ตำรวจเตือนหญิงขับสกุ๊ตเตอร์ไฟฟ้าขึ้นถนนใหญ่ เจอสวนกลับ ถ้าห้ามขับไปบอกร้านว่าห้ามขายสิบ้านในฝันก็ต้องปล่อย! 'กวินท์-ปุ้มปุ้ย' เปิดใจขายบ้าน 19.5 ล้าน ทั้งที่รักมาก
ตั้งกระทู้ใหม่