กะเทยไทยแบกเป้ไปหลังคาโลกคนเดียวงบไม่เกิน 2 หมื่น ตอน4
กระเทยไทยหัวใจแบ๊ว เดินทางไกลด้วยรถจากหมอชิตไปถึงแดนหลังคาโลก
ทั้งชีวิตเคยเห็นหิมะแค่ในดรีมเวิลด์ จะไปญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวค่าเครื่องก็แพง
เกาหลีก็ไม่ชอบ เนปาลก็ดูจะโหดไป ยุโรปยิ่งไม่มีปัญญา ตัดสินในนั่งรถไปแชงกรีล่า
ด้วยงบ 18,000 นิดๆกับระยะเวลา 2 สัปดาห์ 4 เมืองแห่งยูนนาน
ตอนแรก จิ้มๆ https://board.postjung.com/796618.html
ตอน 2 จิ้มๆ https://board.postjung.com/796922.html
ตอน 3 จิ้มๆ https://board.postjung.com/797275.html
ชอบงานเขียน "Share"หรือ"Like" ให้กำลังใจได้นะคะ
เช้านี้มีเซอไพรส์
21.04.14
รู้สึกตัวในตอนที่แสงแดดเริ่มแยงตา เอ๊ะ!! สายแล้ว!! ฉันลุกขึ้นมาหน้าตาตื่นเพราะกลัวตกรถไปเต๋อชิง
รีบหยิบโทรศัพท์มาดูนาฬิกา พร้อมกับถอนหายในเบาๆ เฮ้อ.....เพิ่งแปดโมงเช้าเองหรอเนี่ย
แต่ก็นับว่ายังสายสำหรับแบ๊คแพ๊คเกอร์ เพราะเวลาที่แบ๊คแพ๊คหลายคนเริ่มเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะราวๆ
หกโมงเช้าเพื่อที่จะใช้เวลาแต่ละวันให้คุ้มค่ามากที่สุด วันนี้ฉันไม่มีแพลนไปไหนไกลแค่เดินชมวัดกงล้อ
และรอเวลารถไปเต๋อชิง(Deqin) เวลารถไปเต๋อชิงน่าจะราวๆเที่ยงไม่ก็บ่ายโมง(จำไม่ได้ T^T)
วันนี้เลยมีเวลาว่างเตร็ดเตร่เอื่อยเฉื่อยอยู่ในแชงกรีล่าหลายชั่วโมง
ระหว่างกำลังจัดของเตรียมตัวเดินทาง พลางเช็คอีเมล์ไปด้วย
มีเมล์นึงทำให้ฉันยิ้มแก้มปริดีใจจนอยากจะกระดิกหางเหมือนหมาน้อย
เมล์นั้นเป็นของหนุ่มแว่นนามว่า"อเล็กซ์" กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด(ในใจ)
อเล็กซ์เมล์มาถามว่าฉันอยู่ที่ไหน จะกลับเมื่อไร และบอกขอบคุณสำหรับช๊อตโน้ตวันนั้น
พาเอาคนอ่านนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงด้วยความเคลิบเคลิ้ม อเล็กซ์บอกต่อว่าเค้ากำลัง
กลับไปมหาวิทยาลัยที่ฉงชิ่งเหตุที่ต้องรีบกลับเพราะเพื่อนเค้าต้องรีบไปทำธุระ
ทิ้งท้ายด้วยการบอกว่า ยินดีที่ได้รู้จักกับฉันและเป็นเพื่อนกัน อร๊ายยยยยยยย
จากความรู้สึกเหนื่อยๆทำเอาวันนี้เป็นวันทึ่สดใส ยิ้มได้ทั้งวันเลยหละ
เดินออกมาจากเกสเฮ้าส์ มองเห็นวัดกงล้อไกลๆ
เดินไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
มียัคให้บริการขี่ถ่ายรูป
ไม่กล้าเข้าถ่ายใกล้ๆ น้องหมาหน้าดูบูดๆ
ซา กุ ระ
เมื่อสมัยฉันยังเป็นสาว(ผ่านมาหลายปีแล้ว) ฉันถูกหล่อหลอมด้วยมังงะญี่ปุ่น
หลายๆเรื่องมักมีฉากที่ตัวละครไปก๊งเหล้าหรือชมซากุระ บรรดาดอกซากุระ
ร่วงโรยตามสายลม เดินควงแขนกับพระเอก คงไม่มีสิ่งใดจะโรแมนติคได้เท่านี้
ก่อนที่จะมาเที่ยววัดกงล้อยักษ์พอจะได้เห็นภาพมาก่อนบ้างว่าที่วัดมีต้นซากุระ
อยู่จำนวนหนึ่ง(ไม่รู้ว่ามันมากหรือน้อย) ความฝันของสาวน้อยบ้าการ์ตูนกำลังจะเป็นจริง
ขณะที่สองขากำลังก้าวเดินขึ้นบันได อาการเหนื่อยหอบเพราะความชันของบันไดวัด
ที่ดูไม่ต่างจากดอยสุเทพบ้านเราเท่าใดนักแต่อากาศน้อยกว่าหลายเท่า ทำให้ฉัน
อิดออดอยากถอดใจซะครึ่งทาง แต่ไหนๆก็มาแล้วครั้งนึงที่จะได้เห็นเจ้าดอกซากุระ
แสนโรแมนติค แรงฮึดอีกเฮือกก็กลับมา และแล้วฉันก็พบกับซากุระหย่อมเล็กๆ อาร์....
เหมือนน้ำจะดื่มได้รึปล่าวนะ
Sakura Iro
จ้องหน้าซากุระ
เดินขึ้นเหนื่อยพอประมาณ
ไม่ต่างกัน
ตอนเด็กๆเราทุกคนคงเคยมีโอกาสติดสอยห้อยตามคุณยาย คุณตาไปวัดทำบุญ
ฉันจำได้เลือนลางว่าการไปวัดช่วงเด็กๆกับคุณยายเป็นหนึ่งในความสนุกลำดับต้นๆ
ของวัยเด็ก เพราะที่วัดจะมีเด็กๆเหมือนกันมากับครอบครัวอิ่น ระหว่างประนมมือไหว้
ก็ไม่เข้าใจอะไรซักอย่างเกี่ยวกับบทสวด รอแค่ถวายถวายภัตตาหาร จากนั้นก็กินข้าว
แล้วกลับบ้าน ที่วัดกงล้อทำให้ฉันแอบคิดถึงบ้านเรา คุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณยาย
แต่งกายด้วยชุดทิเบต ในมือถือสร้อยประคำพวงโต จูงเด็กๆมาที่วัดกันแต่เช้า
ระว่างหมุนจะท่องบทสวดไปด้วย กงล้อยักษ์สีทองสดมีคนหมุนอยู่เกือบตลอด
ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ฉันยืนดูอยู่พักนึงก็อยากร่วมแจมเลยเข้าไปช่วยออกแรงหมุน
ยอมรับว่ามันหนักมากต้องใช้คนราวๆ10คนในการเคลื่องกงล้อ ฉันหมุนไปได้ประมาณ3รอบ
ก็รีบถอยมาตั้งหลักถ่ายรูปวงนอกดีกว่า(ให้คนวงในหมุนกันไป) มองไปมองมาเค้าหรือเรา
ทิเบตหรือไทยเรื่องความเชื่อหรือวิถีชีวิตเราก็ไม่ได้ต่างกันมากสักเท่าไร
ขึ้นมาด้านบน สามารถมองเห็นเมืองเก่าและเมืองใหม่ในมุมสูงได้
แหล่งรวมศรัทธาของชาวทิเบต
ชุดทิเบตสวยน่าใส่
กำแพงสีสด & ซากุระ
ซากุระสะพรั่งทั่วทั้งวัด
ณ สถานที่ที่ธงมนต์พริ้วไสว
งานส่องผู้ชายต้องมา.....
หลังจากเดินจนทั่ววัดกงล้อ ฉันกลับมาเอาเป้ที่เกสเฮ้าส์และเช็คเอ๊าท์ออก
ที่นี่จะมีคนพูดภาษาอังกฤษได้สองคนมั้งนะ และสองคนนี้ดันไม่ค่อยอยู่
ติดขัดด้านการสื่อสารเล็กน้อยถึงปานกลาง
เดินออกมาตรงเจดีย์ที่จตุรัสอีกส่วนหนึ่งของเมืองเก่า คุณลุงกำลังหมุนกงล้อจิ๋ว
ขอหมุนบ้างเผื่อจะโชคดี
ได้เวลาบอกลาเมืองเก่า
รองท้องเช้านี้ด้วยนมเปรี้ยวสูตรนมเจือจาง ฮ่าๆ
ที่ยวคนเดียวผิวหน้าต้องหนา
อยู่ที่จีนมาหลายวันเริ่มไม่แน่ใจว่าหน้าตัวเอง หนาเท่าพื้นถนนหรือยังก็ไม่รู้
ถ้าไม่ใช่ก็คงใกล้ วันแรกๆที่มาถึงแผ่นดินจีนจะทำอะไรแต่ละทีต้องอายต้องมีพิธี
จะเข้าห้องน้ำก็เดินวนไปวนมาหลายรอบหน้าห้องน้ำเพื่อทำใจ จะกินข้าวก็ไม่กล้าสั่ง
หลงทางก็ไม่กล้าถาม พอมาถึงวันนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างที่ว่ามาเมื่อกี้มันกลับตารปัด
ห้องน้ำเข้าไม่ต้องคิดเห็นเป็นเห็น(ก็มันไม่มีประตูนี่บางทีก็อั้นไม่ไหวจริงๆ) แอบนึกถึง
หนังเรื่อง"กวน มึน โฮ" ประโยคนึงที่หนูนาพูดว่า"นี่ต่างประเทศทำอะไรก็ได้ไม่มีใครรู้จัก"
เออจริงแฮะ แล้วฉันจะอายทำไมในเมื่อคนอื่นๆเค้าก็ทำกัน กินข้าวเสียงดังไปไปไกลเมตรนึง
ก็ไม่มีใครว่า ฉันเดินอยู่บนถนนเต้นแรงเต้นกาวิ่งไปมาราวกับคนบ้า อ้าว!!ไม่มีใครรู้จักนี่จริงป่ะ
พอเข้ามาเขตเมืองใหม่เริ่มรู้สึกถึงความคึกคัก
วันทำงานตอนเช้าๆพบเจอหนุ่มพนักงานเงินเดือนไม่ต่างจากบ้านเรา
เดินมาเรื่อยๆแบบเดาทางเอา
สวนสาธารณะน่านั่งเล่นมาก แต่ต้องรีบไปซื้อตั๋วรถก่อนกลัวหมด
เคยดูรูปแล้วอยากมาที่นี่มาก แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร? อยู่ส่วนไหนของแชงกรีล่า? เดินมาเจอแบบงงๆซะงั้น
และแล้วฉันก็หลงทางจนได้แต่ฉันกลับไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร รู้สึกว่าหลายวันมานี้
การหลงทางเป็นเรื่องธรรมดา การเดินหาสถานที่ต่างๆเป็นเรื่องสนุก การถามทางคือมิตรภาพใหม่
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวอีกแล้ว ถ้าเป็นฉันในอดีตเดินหลงทางคงได้แต่ทำหน้าเครียดร้องให้
แต่ตอนนี้หลงทางก็แค่ถามทาง คุยไม่รู้เรื่องก็กูเกิ้ล ทุกอย่างง่ายดาย
เจอป้อมตำรวจเล็กๆเข้าไปถามทางโดยใช้กูเกิ้ลแปลภาษา คุณตำรวจแนะนำให้ขึ้นรถเมล์
เพราะระยะทางไปสถานีขนส่งไกลนิดหน่อย(เดาเอาจากท่าทาง) ถึงจะคุยด้วยภาษาไม่รู้เรื่อง
แต่ฉันรับรู้ถึงน้ำใจของคุณตำรวจ 3 คนในป้อม ทุกคนดูกุลีกุจอแนะนำชี้นู่นนี่ แถมพามาที่ถนนด้วย
สุดท้ายก็นั่งรถเมล์กลับไปที่ขนส่ง
ขนส่งมีโรงแรมด้วย แต่สภาพไม่รู้เป็นยังไง
เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากความหิวโหย เพราะต้องนั่งรถยาว 6 ชม. เลยเดินหาของกิน
เดินออกมาด้านข้างสถานีขนส่ง ไม่มีร้านอะไรเลยสุดท้ายกลับไปตายรังด้านใน
ชานมไม่ต้องแช่เย็น ตั้งไว้เชยๆก็เย็นเฉียบอากาศหนาวสะดวกจัง
ซื้อตั๋วรถจากแชงไปเต๋อชิงในราคา 67 หยวน ระหว่างที่นั่งรอเจอพี่สองคนเมื่อวาน
ที่ให้ฉันติดรถกลับโดยบังเอิญ พี่ๆทั้งสองคนจะกลับไปที่ลี่เจียงเราเลยมีเวลาคุยกันเรื่องท่องเที่ยว
แชร์หลายๆเรื่องซึ่งกันและกัน คุยกันเพลินจนถึงเวลารถออกฉันไม่ลืมที่จะโบกมือลาพี่ๆทั้งสองคน
รู้สึกดีที่เราเจอกันแชร์เรื่องราวซึ่งกันและกัน....จนถึงตอนนี้เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย
โชคร้ายไม่ได้นั่งติดหน้าต่างอีกแล้วฮือๆๆ
ผ่านทุ่งนาพาไห่อันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
ไม่เคยเบื่อสองข้างทางเลยจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าขากลับที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะทั้งภูเขา
รถเริ่มเข้าเขตแดนภูเขาหิมะ
วันนี้ความเมื่อยเริ่มไม่มีผลกับก้นคงเพราะนั่งรถแบบนันสต๊อปทุกๆวัน วันละหลายๆชั่วโมง
ร่างกายเลยมีภูมิต้านการการปวดก้นฮ่าๆ อันนี้ฉันวิเคราะห์เอาเอง
รถเข้ามาส่งผู้โดยสารที่เมืองเต๋อชิง แต่ยังไม่ถึงที่หมายจริงๆเพราะเราจะต้องไปลงที่
"เฟยไหลซื่อ" เป็นชุมชนวัดเฟยไหลจุดศูนย์รวมของแบ๊คแพ๊คเกอร์ที่จะไปอวี่เปิงหรือหมิ่งหยง
ฉันรู้ข้อมูลพวกนี้จากไหนหน่ะหรือ? ถามคนข้างๆเอาจ้า
ชุมชนวัดเฟยไหล
สูงสุดแดนสยอง
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ขุนเขาตระหง่าน~ เพลงคุ้นหูที่คอยย้ำเตือนดังก้องอยู่ในโสทประสาท
ความสูงและและความไกลมองเอาจากกูเกิ้ลแมพมันพอที่จะสั่นคลอนความแข็งแกร่งของหัวใจ
เพราะเส้นทางที่ใช้ระหว่างแต่ละเมืองเป็นเส้นทางลัดเลาะภูเขา มีทั้งดินถล่ม พายุหิมะ
ถนนเลนส์คู่แคบๆเวลารถสองกันจะสวนกกันต้องมีอีกคันชิดริมฝั่ง บางช่วงไม่มีแม้แต่
รั้วกันกันรถตกหน้าผา แค่มองออกไปเจอหุบเหวเวิ้งว้างข้างทางหัวใจก็สั่นระรัว
เสียงของสายลมในหุบเขาดังกึกก้อง ช่วงที่ลมพัดแรงๆรถยนต์ทั้งคันสามารถสั่นไหวได้
ตอนนี้การเดินทางของฉันอยู่ที่ 50% แล้ว อีก 50% คือขากลับ โดยจะต้องไปแวะเมืองหลวง
ของยูนนานอย่างคุนหมิง(Kunming) เมื่อช่วงแรกๆที่มาถึงจีนใหม่ๆเคยมีความคิดว่าถ้ากลับบ้าน
ก็ยังทัน แต่ขณะนี้มันไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับ เงินในกระเป๋าก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆต้องคาดเข็มขัด
ให้มากกว่าที่ผ่านมา ฉันตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยแรงมุ่นมั่นว่าต้องใช้สองเท้าก้าวเข้าใกล้
ภูเขาหิมะให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าที่นี่จะน่ากลัวไร้สิ่งอำนวยความสะดวกสบายแต่ฉันต้องผ่านไปให้ได้
ล้อรถมาหยุดใกล้ๆวัดเฟยไหล(Feilai temple) และอีกครั้งที่ต้องทำความรู้จักสถานใหม่
ฉันไม่กังวลใดๆทั้งนั้นแค่ปล่อยตัวไปตามกระแส เพราะการผ่านมาหลายเมืองทำให้การเริ่มใหม่เป็นเรื่องสนุก
สองขาเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆเพื่อจะหาโฮสเทลที่เคยมีคนไทยมาพักจากรีวิวเก่าๆที่อ่านในพันทิพ
น้องลาตัวนี้โผล่มาหลายรีวิวแล้ว
เดินมาเจอที่นี่เหมือนรูปในพันทิพเลย(ไม่รู้แม้แต่ชื่อโรงแรม)
เดินเข้ามาสำรวจด้านในและกะเช็คอินที่นี่แหละขี้เกียจจะเดินหาแล้ว ฮา
มีกระจกใสๆให้มองด้านนอก

ภาพสามวันหลังจากเราเจอกัน
เรื่องของเราทั้งเจ็ด
ฉันเดินงงๆเข้ามาที่ร๊อบบี้โรงแรม เห็นคนกลุ่มนึงกำลังนั่งคุยกันอยู่มองไปมองมา
เป็นคนกลุ่มเดียวที่นั่งรถมาด้วยกันวันนี้ ฉันเลยได้ทีเข้าไปคุยสัพเพเหระด้วยความอยากหาเพื่อน
เที่ยวในวันพรุ่ง ทุกคนบอกว่าเพิ่งรู้จักกันตอนลงจากรถนี่เองและมีแพลนว่าจะไปอวี่เปิง(Yubeng)
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถไปคนเดียวได้เพราะทางค่อนข้างอันตรายต้องไปกันเป็นกลุ่มคณะ
ฟังดังนั้นฉันเซย์...ขอติดสอยห้อยตามทันที ทั้งๆที่ฉันไม่รู้จักรายละเอียดเบื้องลึกเกี่ยวกับอวี่เปิง
อยู่ส่วนไหน เดินยากลำบากหรือไม่ รู้อย่างเดียวแค่ว่ามันคือสถานที่สำหรับ Trekking ที่งดงามแห่งหนึ่ง
ฉันอดคิดไม่ได้ว่าอยากไปที่อวี่เปิงจริงๆจากใจหรือแค่อยากเดินทางไปไหนกับใครซักคน
สิ่งสำคัญต่อมาฉันคิดว่าควรจะจำชื่อทุกคนให้ได้ แต่ละคนเองก็เป็นห่วงฉันกลัวว่าภาษาจีนจะยากเกินไป
ทุกคนเลยด้นสดชื่อภาษาอังกฤษกันตามใจชอบ(ฮา Potato)
คู่ที่หนึ่ง Potato & Tomato สองคนนี้น่าจะเป็นแฟนกันเพราะดูกระหนุงกระหนิงไม่น้อยและเป็นคู่ที่เดินช้าที่สุด
ในทริปนี้โปเต้สาวหล่อผมสั้นนางชอบเล่นมุขตลกแปลกๆที่ทำให้ทุกคนหัวเราะกัน ส่วนสาวแว่นโทมะจะออกแนวๆ
พูดน้อยๆชื่อ(Tomato)มีแหล่งกำเนิดจากชั้นเองในวันที่เราเริ่มสนิทกันฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ ทั้งคู่เป็นนักศึกษาคณะดีไซน์อะไรสักอย่างจากมหาลัยเซี้ยงไฮ้(ออกเสียงจีน ชางไห่) ตอนแรกฉันพูดเซี้ยงไฮ้เล่นเอาสองคนนี้งงกับแอคเซ่น
คู่ที่สอง Tom & Pan ฉันคุยกับสองคนนี้มากที่สุดและทอมกับแพนก็ช่วยเหลือฉันไว้มากจริงๆแอบซึ้งตอนเราลากัน ทั้งสองคนมาจากฉางซา(เขียนงี้ป่าวหว่า) แพนกับทอมเรียนคณะบริหาร ทั้งคู่เก่งภาษาอังกฤษระดับนึงเลยหละ
คู่ที่สาม ฮุ่ยฮุ่ย & อาเล่ย การพูดชื่อฮุ่ยฮุ่ยให้ถูกนั้นยากมากสำหรับคนไทยที่เคยเรียนภาษาจีนแค่เทอมเดียว
ตอนที่ฉันเริ่มพยายามจะพูดชื่อฮุ่ยฮุ่ย ทุกคนหัวเราะกันท้องแข็ง(ทำไมว้าก็คนไทยหนิ) ฮุ่ยฮุ่ยเป็นสาวน้อยร่าเริงสดใส
บางทีนางก็สดใสไป กับอาเล่ยที่ชอบทำหน้านิ่งๆแอ๊คท่าเท่ๆอย่างกะพระเอกตำนานรักดอกเหมย ทั้งคู่มากจากสิบสองปันนาและพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงคุยกับสองคนนี้น้อยที่สุดในกลุ่ม
หลังจากพวกเราทุกคนแนะนำตัวเสร็จกันเสร็จสัพ ทอม เพน และฉัน อาสาเดินไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานอวี่เปิงในวันพรุ่งนี้
ขอเล่านิดนึงด้วยความที่ภาษาอังกฤษฉันง่อยในระดับใกล้โคม่า ฉันฟังทอมพูดว่าจะไปอวี่เปิงแค่วันเดียวฉันเลยตกลง
แต่อันที่จริงมันเป็นสามวัน.... ยังงงอยู่ว่าฟังยังไงเป็นหนึ่งวัน ฉันมารู้หลังจากซื้อตั๋วแล้วว่าจะเดินป่ากันสามวัน
คุณพระเข่าสาวน้อยแทบทรุด อุปกรณ์อะไรไม่มีซักกะอย่างใจไม่อยากไปเลย แต่ถึงกระนั้นค่าตั๋วเข้าอุทยาน
ลดมาครึ่งนึงจากอานิสงค์บัตร ISIC เหลือแค่ 115 หยวน มันก็แพงเกินจะทิ้งไปอยู่ดี สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจ
ไปเดินป่าแบบจำยอม (ณ นาทีนั้น ไลน์มาหาแม่บอกว่า"ม๊าหนูอยากกลับบ้านแว๊วววฮือออ")

เตียงคืนนี้ แยกห้องช-ญ คืนนี้ฉันตอนนอนกับหนุ่มๆบอกตรงๆไม่สะดวกใจเลย ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชาย
ขณะกำลังเอากระเป๋ามาเก็บ อาเล่ยเดินเข้ามาหาฉันและพูดว่า"มีเสื้อมั้ย^*&" เหมือนจะถามว่ามีเสื้อหนาๆมั้ย?
ฉันตกใจที่อาเล่ยอยู่ดีๆก็พูดภาษาไทยเลยถามว่าทำไมถึงพูดได้ อาเล่ยเล่าว่าตัวเองเป็นชาวไตลื้อ(ออกเสียงแบบนี้)
ที่สิบสองปันนาจะมีกลุ่มคนไตลื้อที่พูดภาษาไทยได้ แต่ที่ฉันฟังมันก็ไม่ใช่ภาษาไทยทีเดียวถึงจะคล้ายๆก็เถอะ
แอบฟังยากพอสมควร อาเล่ยบอกว่า"จะไปเดินป่าสามวันต้องซื้ออาหารและน้ำไปด้วยเดี๋ยวพาไป"

ร้านขายของอยู่ติดกับโรงแรมเลย

อาหารประทังชีวิตสามวัน 80 หยวน อาเล่ยเป็นคนหยิบๆให้
จากการสุ่มเสี่ยงตายกินมาม่าจีนมาพบว่าสีแบบในภาพอร่อยที่สุด
มีใส้กรอกที่แรกๆกินแล้วรู้สึกไม่อร่อยๆ พอกินตอนหิวๆเท่านั้นแหละซานตาเฟ่ชิดซ้าย
ไข่จริงหรือไข่ปลอมก็ไม่รู้ แต่ว่าสำเร็จรูปกินได้รสชาติเหมือนไข่พะโล้ซีลมาอย่างดี
มันเป็นความบังเอิญหรือพรหมลิขิตจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ถือว่านี่คือสิ่งที่ดีมากในทริปเลย
พวกเราทุกคนอายุไล่เลี่ยกันอยู่ราวๆยี่สิบต้นๆ นั่นทำให้เราเปิดรับกันมากขึ้นและสนิทกันรวดเร็ว
ตอนประมาณหนึ่งทุ่มกว่าๆทุกคนชวนกันออกไปที่วัดเฟยไหล ไปชมวิวยามเย็นและพาฉันไป
หาเสื้อกันหนาวหนาๆ



เมฆเยอะจริงๆแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย และเช่นเดิมฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่อีกตามเคย
รู้แค่ว่าวัดเฟยไหลอาจจะสร้างมาประมาณพันปี ที่สร้างให้มองเห็นภูเขาชัดๆเพราะว่าชาวบ้านแถวนี้
มีความเชื่อเรื่องการเคารพธรรมชาติ เคารพความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะ ทุกๆวันจะมีชาวบ้าน
มากราบไหว้ขอพรภูเขาหิมะทุกเช้า อยากให้คนไทยมีความเชื่อเคารพธรรมชาติบ้าง
แสงอาทิตย์เบาบางไปจากท้องฟ้า อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆเพนกับฉัน
เดินออกมาถามหาเช่าเสื้อกันหนาวจากหลายๆร้าน ราคาที่พบคือ 50,60,70 หยวนราวๆนี้
จนกะจะเอา50 หยวนอยู่แล้ว สุดท้ายลองถามร้านข้างโรงแรมได้3 วัน 45 หยวน
เลยตัดสินใจเอาที่นี่แหละ จ่ายค่ามัดจำเพิ่มอีก 55 หยวน
กลับมาที่โรงแรมนอนหลับเป็นตายในตอนกลางคืน(วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันได้อาบน้ำ)
ก่อนจะนอนทอมอธิบายแผนการเดินทางนิดหน่อยโดยเอาแผนที่ประกอบ อวี่เปิงมีสองทางเข้า
เราจะไปทางที่ไม่อันตราย แต่จะมีอีกทางนึงทอมบอกว่ามีคนตายบ่อยครั้ง(อึ๊ย!! น่ากลัวอ่ะ)

จุดแรกคือที่พวกเราอยู่ ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเราเดินไปอวี่เปิงด้วยเส้นทางไหน
จุดที่ 1 คือหมู่บ้านที่เราไปพักสองคืน
จุดที่ 2 คือน้ำตกศักสิทธิ์และธารน้ำแข็งจากภูเขาเหมยลี่
ก่อนนอนเกิดการขัดแย้งในใจอย่างรุนแรง เพราะรู้สึกไม่อยากไปเลยมันต้องหฤโหดแน่ๆ
ไลน์กลับมาหาเพื่อน หาที่บ้าน บ่นพร่ำเพรื่อ"เหนื่อยและเบื่ออยากกลับบ้านแล้ว อาหารก็ไม่อร่อย
ลำบากก็ลำบาก"ตอนนั้นอยากร้องให้มากแต่ก็คิดซะว่านี่คงเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตแหละ ถ้าผ่านไปได้
ฉันคงจะเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก
เกลียดตัวเองที่เป็นคนงอแงติดความสบายมากเกินไป ทั้งๆที่ปากบอกลำบากได้ลุยได้
แต่พอเจอสถานการณ์จริงๆกลับอยากจะวิ่งหนี แต่ก่อนจะเริ่มเดินทางคนเดียวฉันเคยเป็นคนที่
ไม่มีความเป็นผู้นำ กล้าๆกลัวๆที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง กลายเป็นว่ายึดติดกับแฟนเก่ามากไป
ให้เค้าเป็นคนคอยดูแลคอยนำฉันตลอด จนวันนึงเค้าเดินออกไปจากชีวิตฉัน นั่นเป็นวันที่ยากที่สุด
ของคนแบบฉันเลยหละ ฉันเอาแต่ร้องให้ปฏิเสธความสัมพันธ์จากคนรอบตัวจนในที่สุดฉันเก็บกระเป๋า
นั่งรถไฟไปทะเลคนเดียว ร้องให้แล้วร้องให้อีก กินข้าวคนเดียว นั่งอยู่ที่ทะเลนานจนพอใจ
นั่นคือการเริ่มเดินทางครั้งแรกของฉัน บอกตรงๆตอนนั้นยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองชอบการเดินทางจริงมั้ย?
แต่การเดินทางคนเดียวครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงตัวฉันไปตลอดกาล ฉันมั่นใจและเชื่อใจในตัวเองมากขึ้น
ฉันไม่จำเป็นต้องรอมือใครซักคนมาจูงฉันเพื่อเดิน ฉันกุมมือตัวเองและเดินด้วยตัวของฉันเองได้
หลังจากกลับมาจากทะเลครั้งนั้นอาการเศร้าหมองค่อยๆหายไปจากฉัน ชีวิตปกติกลับมาเป็นเหมือนเดิม
จากนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าฉันนั่งวางแผนไปนู่นนี่ด้วยตัวเองตลอด(ดูทริปอื่นได้จากBloggangนะคะ)
ตอนนี้ฉันดูแลตัวเองได้และทำได้ดีทีเดียว มีความสุขกับการเดินทางทุกเส้นทาง
แม้บางครั้งจะลำบาก บางครั้งจะได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นคือเครื่องยืนยันว่าฉันไม่อ่อนแออีกแล้ว
นาทีนี้เป็นนาทีที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต ฉันพาตัวเองเดินทางมาไกลมากไกลซะจนยังไม่อยากเชื่อ
ว่าสามารถจริงๆ และพรุ่งนี้คือบททดสอบอันหนักหน่วงที่สุดในชีวิตการเดินทางของฉัน
ฉันหวังว่าฉันจะผ่านเส้นทางอันหนักหนาสาหัสไปได้ เช่นเดียวกับความรักที่ฉันผ่านจุดที่แย่ๆที่สุดมาได้
ฉันคิดว่าคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงทำได้ ถ้าคนไม่เอาไหนแบบฉันสามารถทำได้

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
ชอบงานเขียน "Share"หรือ"Like" ให้กำลังใจได้นะคะ
การเดินทางอื่นๆอีกมากมายที่ : http://meledy.bloggang.com
Follow,ฟังเราบ่น,ถามข้อมูล,เป็นเพื่อนกัน จิปาถะ
ได้ที่ : https://www.facebook.com/natcha.roungsuti
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ชอบการเดินทางของเราไลค์และแชร์
เป็นจำนวนมากจนเราไม่คาดคิดเลยค่ะ ระหว่างที่กะว่าจะรีบๆเขียน
เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นคือเน็ตที่บ้านเราพังจนต้องหยุดไปหลายวัน
ขออภัยคุณผู้อ่านที่ทำให้ขาดตอนนะคะ อย่าลืมติดตามตอนหน้า
การเดินทางจะเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก

















