“ไต-ความดัน” ป้องกันได้แค่ “ลดเค็ม”
วนกลับมาอีกครั้ง สำหรับ “วันไตโลก” ทุกวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม อีกหนึ่งวันสำคัญของแวดวงสาธารณสุข และคนขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพ เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากการ “กินเค็ม”
ในปีนี้ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายลดบริโภคเค็มและหน่วยงานต่างๆ จับมือจัดกิจกรรม “วันไตโลก” ณ แกรนฮอลล์ ชั้น 1 สยามดิสคัฟเวอรี่ กรุงเทพฯ ในวันที่ 9 มีนาคม จากนั้นกำหนดให้มีงานสัปดาห์บริโภคลดเค็มในระหว่างวันที่ 10-16 มีนาคม 2557 ตามโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้แก่ประชาชน “ลดกินเค็ม” เพื่อป้องกันภาวะโรคต่างๆ รวมถึงปัญหาโรคไต ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะไตวาย และเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ในที่สุด
กินอร่อย โรคภัยถามหา
ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรังของจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันนี้ ล้วนมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการกินอาหารที่ไม่เหมาะกับสุขภาพ คนไทยติดกินเค็ม เพราะรสเค็มให้ความรู้สึกว่าอร่อย โดยหารู้ไม่ว่าอาหารที่เค็มเกินพอดี ทำให้มีปัญหาสุขภาพได้หลายโรค ทั้งความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน รวมถึงโรคไตในทุกระยะ ฉะนั้น หากสามารถรณรงค์ให้ความรู้ ให้ประชาชนมีความตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากการกินเค็มได้ ย่อมส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย
ติด “เค็ม” เสี่ยงไตวาย
ด้าน ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ราชวิทยาลัยอายุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องของการลดเค็ม ประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ลดการกินเค็มจากเกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว หรือเครื่องปรุงรสที่ให้ความเค็มเท่านั้น หากแต่ลืมคิดถึง “โซเดียม” ที่ปะปนอยู่ในอาหารที่ใช้วัตถุกันเสีย อย่างอาหารสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง และผงชูรส ที่อยู่ในซองปรุงอาหาร
ฉะนั้น ตามที่กรมอนามัยแนะนำว่า ไม่ควรกินเกลือเกิน 5 กรัม หรือโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หากประชาชน / ผู้บริโภคไม่ระวังจริงๆ ย่อมเป็นไปได้ยาก
“การกินเค็มไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก แต่ยังส่งผลต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง และโรคไตโดยตรง ยิ่ง “รสเค็ม” เป็นรสชาติอาหารที่ติดกันได้ง่ายที่สุด ยิ่งต้องเร่งสร้างความเข้าใจในการลดการบริโภคที่ถูกต้อง หลายคนหักดิบ งดเค็มไปเลยจะพบว่า ตัวเองทำได้ไม่นาน วิธีที่ถูกต้องจึงควรจะค่อยๆ ลด และลดลงมาทีละน้อย อย่างน้อยร้อยละ 10 เพื่อให้ต่อมรับรสทำความคุ้นชินกับความเค็มที่ลดลง จากนั้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณความเค็มลงอีก”
นอกจากนี้ อาหารไทยทั่วไปที่มีน้ำซุป-น้ำจิ้มเป็นส่วนประกอบ ควรเลือกกินอย่างระมัดระวัง เพราะทั้งในน้ำซุปและน้ำจิ้ม ไม่เพียงแต่มีเครื่องปรุงรสที่เข้มข้นอยู่แล้ว ยังมีผงชูรส ส่วนประกอบรวมอยู่ด้วย
กินเค็ม ออกกำลังกายช่วยได้
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า วลีฮิตอย่าง “กินก่อน ออกกำลังกายทีหลัง” จะได้รับการโยงใยมาเป็นข้ออ้างที่จะกินเค็ม ประเด็นนี้ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม อธิบายเพิ่มเติมว่า หลายคนเข้าใจว่าการออกกำลังกายช่วยป้องกันโรค และช่วยขับของเสียออกมาทางเหงื่ออยู่แล้ว หากจะเลือกกินเค็มตามปกติ ก็คงจะไม่เป็นไร ความคิดนี้ไม่ถูกต้องนัก
“จริงๆ แล้ว ตามหลักการของการออกกำลังกาย แม้ว่าจะช่วยขับเหงื่อ ซึ่งมีเกลือผสมออกมาก็จริง แต่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า คุณต้องออกกำลังกายให้ “หนัก” มากพอที่จะขับเหงื่อ ซึ่งมีโซเดียม/เกลือที่ได้รับเกินเข้าไปให้ออกมาได้หมด”
อาการของ “โรคไต”
พ.ญ. วรวรรณ ชัยลิมปมนตรี เลขาเครือข่ายลดบริโภคเค็ม และหัวหน้าหน่วยโรคไต โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ให้ข้อมูลว่า โดยปกติ คนทั่วไปจะคุ้นเคยและเข้าใจว่าโรคไตเป็นโรคของคนแก่ หากแต่ในความเป็นจริง “โรคไต” ในวัยเด็ก ก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ที่พบมาก็คือ การไตอักเสบ สามารถรักษาได้ ต่างจาก “โรคไต” ในผู้ใหญ่ ที่มักจะเกี่ยวข้องกับ “โรคความดันโลหิตสูง” และ “โรคเบาหวาน” เสมือนเป็นญาติสนิทกัน เมื่อเป็นแล้ว มักจะไม่ค่อยหาย
“โรคไต แบ่งเป็น 5 ระยะ ได้แก่ ระยะ 1-3 เป็นระยะเล็กน้อย ระยะ 4 เป็ภาวะที่ไตทำงานร้อยละ 15-29 ระยะ 5 เป็นภาวะที่ไตทำงานน้อยกว่าร้อยละ 15” คุณหมอคนสวยอธิบายถึงภาวะโรคไต
ก่อนจะกล่าวเสริมว่า โดยมากที่มีอาการแสดงออกมาให้รู้ว่า ป่วยเป็นโรคไตแน่แล้ว ก็คือผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ในระยะที่ 4 เนื้อไตเสียไปแล้วถึงร้อยละ 70
“ไตทำหน้าที่ขับของเสียกับขับถ่ายปัสสาวะ ถ้าไตทำงานได้น้อย ขับน้ำได้น้อย ก็จะมีปริมาณน้ำในร่างกายเกิน อาการของผู้ป่วยที่จะเห็นได้ชัด คือบวมน้ำ และมีอาการหอบ เหนื่อย นอนราบไม่ได้ ยิ่งมีของเสียค้างอยู่ในตัวมาก ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หลายครั้งมีอาการหน้าซีดรวมอยู่ด้วย เพราะไตมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนเม็ดเลือดแดงด้วย เมื่อเม็ดเลือดแดงไม่ถูกสร้าง หน้าจึงซีด”
โดยอาการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เลขาเครือข่ายลดบริโภคเค็ม บอกว่า จะเกิดขึ้นหลังจากไตไม่ค่อยทำงานแล้ว (ระยะ 4) ดังนั้น การป้องกันโรคไต อยากให้คนไทยเป็นฝ่ายรุก มากกว่ารับ เริ่มป้องกันแต่เนิ่นๆ ลดการกินเค็ม แล้วตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไตกันตั้งแต่อายุ 30 – 35 ปี หากพบว่ามีแนวโน้มในการเป็นโรคไต จะได้รักษาได้ทัน
“โรคไต” ป้องกันไว้ ดีกว่าแก้
“คนที่เป็นแล้ว ทำได้แค่ชะลอการเสื่อมของไต ไม่ให้เป็นเพิ่มมากขึ้นจากระยะที่ค้นพบให้ได้นานที่สุด” หัวหน้าหน่วยโรคไตกล่าว ก่อนอธิบายเสริมว่า หากถูกพบว่าป่วยเป็นโรคไตในระยะที่ 3 สิ่งที่แพทย์จะทำ คือการรักษาเพื่อคงสภาพให้ไตเสื่อมช้าลงที่สุด เพราะการเกิดโรคไตวาย หรือไตเรื้อรัง คือการสูญเสียเนื้อไตที่ดีไปแล้ว ฉะนั้น การรักษาเพื่อให้ไตมีอาการปกติ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“วิธีการดูแลคือ หาหมอตามที่นัด แล้วคุมระดับความดันกับเบาหวานซึ่งเป็นตัวเร่งความเสื่อมของไตให้อยู่ในระดับปกติ งดบุหรี่และเหล้า จากนั้นดูแลอาหารการกินตามที่แพทย์แนะนำ เพราะไตทำหน้าที่ขับของเสียเป็นหลัก หากไม่สามารถขับออกมาได้ ก็จะมีแบคทีเรียสะสมในร่างกายมาก ยิ่งถ้ากินอาหารจำพวกโปรตีนเยอะ ไตต้องทำหน้าที่ขับยูเรียเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้ไตเสื่อมไวขึ้นอีก” เลขาเครือข่ายลดบริโภคเค็ม อธิบาย
เช่นนี้แล้ว การลดเค็ม จึงเป็นต้นทางในการป้องกันปัญหาจาก “โรคไต” และ “ภัย” จากอีกหลายๆ โรค ได้ดีที่สุด
เรื่องโดย: ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th
โพสท์โดย: I sea u