อาณาจักร นูเบีย อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่คู่อิยิปต์
พีรมิดแห่งนูเบีย Pyramid of Nubia
ทวีปแอฟริกามีประวัติศาสตร์มานุษยวิทยามาอย่างยาวนาน ชนชาติโบราณได้รังสรรค์อารยธรรมขึ้นเหนือดินแดนทวีปแอฟริกาและทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา แม้ผู้คนส่วนใหญ่มักรู้จักเพียงอารยธรรมอียิปต์โบราณ กระนั้น ยังมีแหล่งอารยธรรมแอฟริกาโบราณที่เฟื่องฟูอย่างยิ่ง (highly advanced African Civilization) ที่เป็นรากฐานสำคัญของอาณาจักรต่างๆ ในแอฟริกาอีกหลายอาณาจักร อาทิ อาณาจักรนูเบีย อาณาจักรอักซุม อาณาจักรซิมบับเว และอาณาจักรเบนิน เป็นต้น
ที่ตั้งเมืองสำีัคัญของอาณาจักร (ซ้าย) และอาณาเขตของอาณาจักรนูเบีย (ขวา)
อาณาจักรนูเบีย (Ancient Nubia) ตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งปัจจุบันคือดินแดนตอนใต้ของอียิปต์ไปจนถึงตอนเหนือของซูดาน นักประวัติศาสตร์ด้านโบราณคดีสันนิษฐานว่าอาณาจักรนูเบียเริ่มปรากฏขึ้นในดินแดนแอฟริกาแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ช่วง 3,500 ถึง 2,900 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยก่อรูปร่างขึ้นจากสองอาณาจักรย่อย คือ อาณาจักรนูเบียล่าง (Lower Nubia) และอาณาจักรนูเบียบน (Upper Nubia) ที่มีรูปแบบทางวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน ทว่าต่างมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และมีความสำคัญต่ออาณาจักรโบราณอื่นๆ โดยรอบ ในฐานะเป็นประตูสู่ภูมิภาคแอฟริกากลาง (central Africa) ในช่วงยุคต้นของอารยธรรมโบราณ ทั้งนี้ ชาวอียิปต์โบราณเรียกขานอาณาจักรนูเบียว่า อาณาจักรคุช[ii] (The Kingdom of Kush) นับตั้งแต่สมัยฟาโรห์เซนโวสเร็ตที่ 1 (Senwosret I) เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
แผนที่แสดงตำแหน่งของอาณาจักรนูเบียบน และอาณาจักรนูเบียล่าง
ซากเมืองโบราณมีโร (Meroe) เมืองหลวงของอาณาจักรนูเบีย (ซ้าย)
และปิระมิดแห่งนูเบีย (ขวา)
ร่องรอยการขุดค้น
การขุดค้นเท่าที่พอจะทราบได้มี พิธีการศักดิ์สิทธิ์ ภาพการต่อสู้ และทำสงครามในอดีต การรุกรานอันโหดร้าย ที่อาจทำให้จักรวัติเรืองอำนาจที่นำไปสู่การล่มสลาย การทำลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ในอาณาจักรแห่งนี้ครับ
อาณาจักรนูเบียนี้ ทรงอำนาจประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นช่วงเวลาเดียวกับ ราชวงค์แรกของอียิปต์เริ่มก่อตั้ง ทางทิศเหนือ ชาวอียิปต์เริ่มรู้ว่า กองทหารนูเบีย คือคู่แข่งที่อันตรายทางทิศใต้ของแม่น้ำไนล์ เป็นเวลาหลายปีที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์ มีอำนาจเหนือ นูเบีย แต่ก็มี ที่ ช่วงเวลาหนึ่งครับที่สามารถเอาชนะอียิปต์ได้ครับ แบบว่า ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ทั้งสองชาตินี้ เป็นทั้งคู่สงครามและ คู่ค้า ซึ่งประวัติเกี่ยวพันกันนับพันปี
ทุกวันนี้อียิปต์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่เรื่องราวของคู่ต่อสู้ของอียิปต์ผู้ยิ่งใหญ่ กำลังปรากฏออกมาครับ ชาวนูเบีย เจริญรุ่งเรืองโดยไม่พึ่งกับใคร การค้าทองคำ ทำให้ประมุขของนูเบีย ร่ำรวย ช่างฝีมือ มีการนำโลหะมีค่ามาทำเป็นเครื่องประดับ เครื่องปั้นดินเผาของนูเบีย เป็นหนึ่งในงานที่ประณีตที่สุดในยุคโบราณ
สถาปนิคนูเบีย ไม่เพียงสร้างอาราม ไปจนถึงวิหารเทพเจ้า แต่ยังได้ฟื้นฟูประเพณีโบราณอีกด้วย ปัจจุบันนี้ ซูดาน มีปิรามิด มากกว่าอียิปต์ ถึง 3 เท่า
ปี 1920 นักโบราณคดี จากฮาร์วาร์ด ได้ขุดสุสานนูเบีย และวางรากฐานการจัดอันดับราชาแห่งนูเบีย ในช่วงเวลากว่า 1,000 ปี แต่ยังคงมืดมน ในรหัสลับ แห่งจารึกนูเบีย เพื่อจะถอดรหัสภาษา ซึ่งเหมือนกับจารึก โรเซทตา ที่ช่วยไขรหัสภาษาแห่งจารึก เฮียโรกรีฟฟริก (จารึก โรเซทตา มี 3 ภาษาเขียนได้ด้วยกัน คือ กรีก เฮียโรกรีฟฟริก และ คอปติก ในข้อความเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการแปลครับ)
แดนเกล คือเมืองนูเบียหนึ่งที่ยังคงสภาพดี มีอายุ 2,000 ปี มีขนาด พอ ๆ กับ สนามฟุตบอล 24 สนาม
จูลี่ และซาราห์ นักโบราณคดี ได้มาสำรวจ เมืองโบราณแห่งนี้ครับ การขุดเมืองทั้งเมืองจะต้องใช้เวลาหลายปี ใช้แรงงานมหาศาล พวกเขาค้นพบซากวิหารขนาดใหญ่ วิหารนี้ ที่อุทิศแด่เทพที่ชาวนูเบีย และ อียิปต์ สักการบูชา คือ เทพอามุน ซึ่งมีเศียร เป็นแกะ วิหารของเทพองค์นี้มีโครงสร้างตามแบบโบราณ เช่นเดียวกับวิหารที่ชาวอียิปต์สร้างขึ้นใน คานัค
จากการขุดค้น พบรูปสลัก และ การพบภาพที่บูชาเทพเจ้าด้วยน้ำ ไม่ใช่เรื่องแปลก น้ำคือชีวิตครับ ในฤดูร้อนที่นี่อาจร้อนถึง 50 องศาเซลเซียส น้ำจึงมีค่ามาก ถือเป็นเครื่องบูชาที่มีค่ามากทีเดียว ที่เสาหินมีภาพของ ฮาร์ปีร์ เทพผู้คุ้มครองสายน้ำ และคำจารึกปริศนาของชาวนูเบีย ชาวนูเบีย ประดิษฐ์อักษรจารึกเมื่อ ประมาณ 200 ปี ก่อนคริสตกาล เมื่อตั้งเมืองที่อาณาจักรเมโรเอด้วยวัฒนธรรมที่เจริญเฟื่องฟู ชาว เมโรอิด จึงสร้างตัวอักษรของตนเอง แทนอักษร เฮียโรกริฟฟริก ของอียิปต์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำอาณาจักรนูเบียก้าวสู่ยุคประวัติศาสตร์ เฉกเช่นเดียวกับอารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใช้อักษรฮีโรกลิฟิกส์ (Hieroglyphics) และอารยธรรมของชาวสุเมเรียน (Sumerian) ในดินแดนเมโสโปเตเมียที่ใช้อักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) อีกด้วย
จากการขุดค้น พบ รูปสลัก และ การพบภาพที่บูชาเทพเจ้าด้วยน้ำ
รูปคาทุส มีเพียงเชื้อพระวงค์เท่านั้น ที่ล้อมกรอบพระนามด้วยสัญลักษณ์ รูปวงรี รูปทรงเหมือนเส้นเชือกที่มีปลายติดกัน
ซึ่งเชื่อกันว่าจะปกป้องพระนามของกษัตริย์ จากภยันตราย ถ้าพบชื่อในโบราณสถาน ก็หมายความว่าพระองค์คือผู้ที่สร้างวิหารแห่งนี้ ขึ้นมา
แม้ว่าตอนนี้ยังแปลได้แค่บางส่วน แต่นักวิชาการก็หาวิธีจากผู้มาเยือนนครแห่งนี้ มีนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเขียนถึง และพวกเขาทำการค้า กับโรมัน และอียิปต์ เมืองโบราณที่แดนเกล เป็นศูนย์กลางการค้า ตลอดมาในประวัติศาสตร์ อาณาจักรนูเบียดึงดูพ่อค้าจากแดนไกล ซึ่งมีสินค้า เช่น งาสัตว์ หนังสัตว์ และทองคำ ผุ้คนมากมายต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ทั้งกรีก อียิปต์ และโรมัน ต่างค้าขายกับนูเบีย ครับ
การผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเรืองอำนาจระหว่างอาณาจักรนูเบียและอียิปต์โบราณ ด้านหนึ่งคือการถ่ายโอนอำนาจการเมืองการปกครองระหว่างกัน แต่ผลลัพธ์ข้างเคียง คือ การรับอารยธรรมของแต่ละฝ่ายเข้ามาด้วย ทำให้ขนบธรรมเนียม คติความเชื่อ และพิธีกรรม ของอาณาจักรในภูมิภาคแอฟริกาตามลุ่มแม่น้ำไนล์มีความคล้ายคลึงกัน อาทิ การประกาศสิทธิอันชอบธรรมด้วยบุตรแห่งเทพเจ้าอามุน (Amun) เพื่อปกครองอาณาจักรอื่น ลักษณะงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และศาสนสถาน เป็นต้น
ฟาโรห์ทาฮาร์คา (Tahaka)
หนึ่งในฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นฟาโรห์องค์สุดท้าย ของชาวนูเบียที่ยึดครองอียิปต์ ในยุคที่ 7
กองพลธนูชาวนูเบีย (Nubian)
อักษรมีโรอิติก (Meroitic Script)
การสิ้นสุดของนูเบีย ถ้าดูอย่างการนิยามอียิปต์โบราณล่มสลายเมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล เพราะถูกโรมันเข้าปกครอง กลืนวัฒนธรรม ปิดวิหาร ไม่มีการบูชาเทพเจ้าอียิปต์อย่างแพร่หลายอีกต่อไป ถือว่าอียิปต์โบราณล่มสลาย ดังนั้นการที่นูเบียซึ่งนคร Meroë ถูกทำลายลงโดยอาณาจักรเอธิโอเปียโบราณ แถมถูกคริสเตียนเข้ากลืนทั้งศาสนาและวัฒนธรรมหลังช่วง ค.ศ.350 ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการสิ้นสุดนูเบียโบราณเช่นกันครับ
อณาจักรนูเบีย แหล่งอารยธรรมที่ไม่ค่อยมีใครได้รู้จัก ยังมีเรื่องราวที่น่าศึกษาอีกมาก ไว้โอกาสหน้าผมจะนำมาเสนอให้อ่านกันอีกนะครับ...mata
ที่มา: http://www.pantown.com/board.php?id=36953&area=3&name=board2&topic=78&action=view, http://www.thaiafrica.net/th/article/africa/detail.php?ELEMENT_ID=919, http://www.mythland.org/v3/frame.php?frameon=yes&referer=http://www.mythland.org/v3/thread-87-1-1.html, http://www.geocities.ws/kyo_petrucci/lost_nubia.html