สมเด็จพุทฒาจารย์โตฯ อีกมุมหนึ่งที่อยากให้อ่าน ตอน 2
สมเด็จฯ เข็นเรือ
ครั้งหนึ่ง ขณะที่สมเด็จโตกำลังจะไปธุระ บังเอิญเรือติดหล่มต้องเข็นเรือกัน สมเด็จโตได้เอาพัดยศวางไว้ในเรือ แล้วรีบมาช่วยลูกศิษย์เข็นเรือ ชาวบ้านแถบนั้นแลเห็นเข้าหัวเราะชอบใจขบขัน พูดตะโกนเสมือนหนึ่งล้อเลียนท่านว่า
"ดูท่านสมเด็จ...เข็นเรือ! " สมเด็จโตว่า
"สมเด็จเขาไม่ได้เข็นเรือหรอกจ้ะ สมเด็จท่านอยู่บนเรือ" แล้วท่านสมเด็จโตก็ชี้มือไปที่พัดยศในเรือ ชาวบ้านต่างได้ยินได้ฟังแลเห็นเช่นนั้น ก็เงียบ
บางวันเขานิมนต์ไปเทศน์ เมื่อจบท่านบอกว่า “เอวัง พังกุ้ย” บ้าง
บางวันก็บอกว่า “เอวัง กังสือ”
บางวันก็บอกว่า “เอวัง หุนหัน” เล่ากันต่อๆมาว่าท่านเทศน์ไม่เว้นแต่ละวัน ทรงติดกัณฑ์เทศน์สลึงเฟื้อง
เมื่อพรรษายุกาลมากขึ้น ท่านยิ่งแตกฉานในสรรพวิชากาล สามารถเทศน์ให้ผู้ฟังหัวเราะก็ได้ เทกระเป๋าทำบุญก็ได้ ดังจะเห็นได้จากครั้งหนึ่ง ขณะยังเป็นพระเทพกวี ท่านเจ้าคุณเทศน์คู่กับพระพิมลธรรม (ถึก) วัดพระเชตุพนฯ เสมอมา การเทศน์ของท่านเผ็ดร้อนถึงอกถึงใจคนฟัง จนความทราบถึงพระกรรณสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงนิมนต์เจ้าคุณทั้งสองเข้าไปเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานเงินติดกัณฑ์เทศน์สลึงเฟื้อง พระกวีเทพไหวทัน หันมาบอกพระพิมลธรรมว่า
"เจ้าถึกจ๋าเจ้าถึก เจ้าถึกรู้หรือยัง"
พระพิมลธรรมถามว่า "จะให้รู้อะไรหนา"
"อ้าวท่านเจ้าถึกยังไม่รู้ตัว โง่จริงๆ แฮะ"
ท่านเจ้าถึกถามรุกใหญ่ว่า "จะให้รู้อะไรอีกนอกคอกเปล่าๆ"
พระเทพกวีว่า "จะนอกคอกทำไม เรามาเทศน์กันวันนี้ ในวังไม่ใช่หรือ"
ท่านรับว่า "ในวังน่ะซี"
"ก็ในวัง ในคอก ในกำแพงด้วยซ้ำ รู้ไหมล่ะ"
"รู้อะไรนะ?"
"จงรู้เถิด จะบอกให้ว่า ท่านเจ้าถึกนั้นหัวล้านมีศรี ฝ่ายพระเทพกวีนั้นหัวเหลือง สมเด็จพระบรมบพิตร จึงทรงติดให้สลึงเฟื้องรู้ไหม?" พอหมดคำ ก็ฮาครืนบนพระที่นั่ง สมเด็จพระจอมเกล้าฯ เลยพระราชทานรางวัลองค์ละ ๑๐ บาท
“พ่อจงเอาเงินนี้มาแบ่ง จงจัดแจงให้เข้าใจ พ่อถึกหัวล้าน พ่อโตหัวเหลือง เป็นหัวละเฟื้องสองไพฯ”
ปรากฏได้อีกฮาใหญ่ ผลก็คือได้เงินพระราชทานติดกัณฑ์เทศน์องค์ละ ๑๐ บาท คราวนี้เจ้าจอมคิกคักกันแซ่ คุณเฒ่าคุณแก่ยิงเหงือกยิงฟันอ้าปากกันหวอไปหมด สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระสรวลแล้วมีรับสั่งให้ถวายพระธรรมเทศนา ปุจฉาวิสัชนาสืบไปจนจบ
กล่าวขานกันว่าท่านเข้าวังทีใด อะไรมิอะไรก็ขยายให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้รับรางวัลทุกครั้ง แต่เมื่อท่านพ้นประตูวังว่าแล้วมักไม่ใคร่มีเงินเหลือในย่าม เพราะมหาดเล็กในวังต่างล้วงย่ามของท่านเอาเงินไปหมด กลับถึงวัดระฆังฯ เหลือเงินอย่างมากที่สุดก็ ๑๘ สตางค์
ท่านเจ้าคุณเป็นพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งมีจรรยาอาการประพฤติอ่อนน้อม ท่านมีความประพฤติผิดจากชาวบ้านทั่วไป ไม่ว่าพระสงฆ์หรือเณรแบกคัมภีร์เรียนมา ถ้าท่านเจ้าคุณพบเข้า แม้จะเป็นกลางถนน ท่านเป็นต้องหมอบก้มลงกราบ ถ้าพระเณรไม่ทันพิจารณา สำคัญว่าท่านเจ้าคุณก้มลงเคารพตนและก้มเคารพตอบท่านเมื่อไร เมื่อนั้นต่างคนต่างหมอบแต้เคารพอยู่ที่นั่น สร้างความครึกครื้นแก่ผู้พบเห็นเสมอๆ
จุดใต้เข้าวัง
ในช่วงที่สมเด็จโตมีชีวิตอยู่ บ่อยครั้งที่ท่านได้สำแดงปริศนาธรรม เมื่อยามที่ท่านเห็นว่าบ้านเมืองมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ครั้งหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ จุดไต้ลูกใหญ่ลุกโพลงเดินเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ในตอนกลางวันแสกๆ ตะวันตรงหัวทีเดียว ร.๔ ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ตรัสว่า
“ขรัวโต ๆ ในหลวงรู้แล้วละว่าจะบอกอะไรในหลวง”
เจ้าประคุณสมเด็จก็ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ เอาไต้ลูกนั้นทิ่มกับกำแพงวังแล้วเดินกลับออกมาเฉยๆ
ข้อนี้เล่าว่า ในช่วงนั้น ร. ๔ ทรงหมกมุ่นกับเจ้าจอมหม่อมห้ามและการละเม็งละครหนักข้อไปหน่อย สมเด็จท่านจะถวายพระพรเตือนตรง ๆ ก็เกรงพระราชหฤทัย จึงแสร้งจุดไต้เข้าไปทูลเตือนในฐานะนักปราชญ์ด้วยกัน ร.๔ จึงรีบตรัสว่า “รู้แล้วๆ”
อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จโตเข้าเฝ้าถวายพระธรรมเทศนาในวัง เมื่อสมเด็จโตท่านมาถึง นั่งธรรมมาสก์เสร็จ ก็เอ่ยว่า...
"ดี พระมหาบพิธก็รู้ ชั่ว พระมหาบพิธก็รู้
เพราะฉะนั้น วันนี้อากาศแจ่มใสดี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้"
สมเด็จพุทฒาจารย์องค์ที่ 5
ปีขาล จุลศักราช ๑๒๑๖ (พ.ศ.๒๓๙๗) พระเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกวี จนเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(สน) วัดสระเกศถึงมรณภาพ จึงได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๘ ค่ำปีชวด จุลศักราช ๑๒๒๖ ตรงกับวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๔๐๗ นับเป็นสมเด็จพุฒาจารย์องค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(สมณศักดิ์นี้เดิมใช้คำว่า “สมเด็จพระพุทธาจารย์” คู่กับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ “สมเด็จพระพุฒาจารย์”ในสมัยรัชกาลที่ ๔)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ นั้น มีพระชนมพรรษาเพียง ๑๕ ปี ๑๐ วันเท่านั้น ยังทรงพระเยาว์นัก จึงต้องมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อัครมหาเสนาบดี ผู้ใหญ่ในขณะนั้น เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
วันหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จก็จุดไต้ลูกใหญ่เข้าไปหาสมเด็จเจ้าพระยาในจวนของท่าน ยามกลางวันแสกๆ อีกเช่นเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาจึงถามว่า มีประสงค์อันใดหรือ จึงถือไต้เข้ามาหากระผมเช่นนี้ เจ้าประคุณสมเด็จตอบไม่อ้อมค้อมเลยว่า
“อาตมภาพได้ยินว่า ทุกวันนี้แผ่นดินมืดมัวนักด้วยมีคนคิดร้ายจะเอาแผ่นดิน ไม่ทราบว่าเท็จจริงจะเป็นประการใด ถ้าเป็นความจริงแล้วไซร้ อาตมภาพก็ใคร่จะขอบิณฑบาตเขาเสียสักครั้งหนึ่งเถิด”
สมเด็จเจ้าพระยา อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ขอพระคุณเจ้าอย่าได้วิตกเลย ตราบใดที่กระผมยังมีชีวิตอยู่ฉะนี้ จะไม่ให้แผ่นดินนั้นมืดมัวหล่นลงไป ด้วยจะไม่มีผู้ใดแย่งแผ่นดินไปได้เป็นอันขาด”
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จบอกว่า เพื่อความสบายใจ ให้สมเด็จเจ้าพระยาไปสาบานตัวต่อพระแก้วมรกตในวัดพระแก้ว ภายหลังต่อมาท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นข้าราชการผู้หนึ่ง ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีส่วนผลักดันให้การบริหารราชการแผ่นดินก้าวเข้าสู่ยุคใหม่
อ่านต่อตอน 3 ครับ
ขอบคุณภาพประกอบ http://forester32.blogspot.com/2010/09/blog-post_17.html, google.co.th, th.wikipedia.org
ที่มา: http://www.moomkafae.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=182658&Ntype=4