นางร้องไห้คนสุดท้ายแห่งรัตนโกสินทร์ 1/3
นางร้องให้ ราชประเพณีแห่งวังหลวง
"นางร้องไห้" เป็นราชประเพณีเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ จัดขึ้นเพื่อแสดงอาการโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ รำพันต่อการล่วงลับของผู้ที่มีความสำคัญต่อแผ่นดิน อันเป็นการแสดงออกถึงเกียรติยศตามราชประเพณี ซึ่งถือปฏิบัติมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา นิยมทำกันในหมู่ราชวงศ์ชั้นสูงระดับพระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสี พระราชชนนีและพระมหาอุปราช (วังหน้า)
การประกอบพิธีนางร้องไห้เป็นหน้าที่ของสตรีชาวววัง เช่น เจ้าจอม พระสนม นางกำนัล โดยคัดเลือกมาจำนวน 100 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นลูกคู่ร้องรับกับต้นเสียงอีก 4 คน และคัดเลือกหญิงที่มีเสียงไพเราะมาหนึ่งคน เพื่อประจำอยู่ใกล้พระบรมโกศ พร้อมกับขับร้องบทเพลงคร่ำครวญ ทำนองและเนื้อเศร้าโศก เยือกเย็น ซึ่งสตรีทุกคน ต้องนุ่งขาวห่มขาว และต้องสยายผมลงเช็ดพื้นเพื่อแสดงความโศกเศร้าอาลัย
เหล่านางร้องไห้ต้องร้องเพลงกล่อมบท ในงานพระบรมศพ ซึ่งส่วนใหญ่มีอยู่ 5 บทคือ เพลงพระยอดฟ้าสุเมรุทอง พระทูลกระหม่อมแก้ว พระร่มโพธิ์ทอง พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปและพระเสด็จสู่สวรรค์ชั้นใด โดยเนื้อร้องทั้ง 5 บทนี้อาจร้องสลับกันได้ในบางบทดังนี้
"พระร่มโพธิ์ของพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระเสด็จไปสู่สวรรค์ชันใด ละข้าพระบาทยุคลไว้พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระยอดฟ้าพระสุเมรุทองพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไปพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย”
ราชประเพณีนางร้องไห้ถือปฏิบัติกันเรื่อยมาจนถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ในพระราชพิธีพระบรมศพ โดยมี "เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์" เป็นต้นเสียงนางร้องไห้ ซึ่งนับเป็นต้นเสียงคนสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากราชประเพณีนี้ไม่เป็นที่โปรดของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะทรงเห็นว่าเป็นการเสแสร้งไม่ใช่การร้องไห้จริง โดยมีพระราชหัตถเลขาปรากฏข้อความเอ่ยถึงการห้ามไม่ให้มีนางร้องไห้ว่า
"มีสิ่งที่รู้สึกโล่งไปอีกอย่างหนึ่งคือนางร้องไห้ได้หยุดไปแล้ว ในเวลาก่อนๆ เมื่อลงไปที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พอถึงเวลาประโค มพระบรมศพ และนางร้องไห้เริ่มส่งเสียงขึ้น ให้รู้สึกรกหูเสียจริงๆ จะข่มใจให้นึกชอบเท่าไหร่ก็ไม่ได้เลย เพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่า มันเป็นของไม่จริงจัง ช่างเรียกชื่อผิดเสียจริงๆ เพราะมันไม่ใช่ร้องไห้แต่เป็นร้องเพลงแท้ๆ และเพลงนั้นเนื้อร้องก็ซ้ำซากไม่เห็นไพเราะอะไร..."
นอกจากนี้ยังทรงระบุในพระราชพินัยกรรมของพระองค์อยู่ตอนหนึ่งว่า "ในเวลาตั้งพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทและในเวลาอื่นๆ ต่อไปนี้ตลอด ห้ามมิให้มีการ้องไห้ ถ้าผู้ใดรักใคร่ข้าพเจ้า ปรารถนาจะร้องไห้ก็ร้องไห้จริงๆ เถิดอย่างร้องเล่นอย่างละครเลย"
...........................................