วิวัฒนาการของช้าง
ช้างที่เราเห็นคุ้นตากันอยู่ทุกวันนี้แต่ก่อนเมื่อดึกดำบรรพ์มันจะมีลักษณะอย่างไรกันกว่ามาถึงวันนี้ วิวัฒนาการที่ยาวนาน ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงส่งผลอะไรกับบรรพบุรุษช้างให้มันมีรูปร่างเช่นนี้ เพราะหาเราย้อนเวลากลับไปตามร่องรอยของฟอสซิล เราจะรู้ว่าบรรพบุรุษของมันไม่ได้มีตัวใหญ่โตดังเช่นปัจจุบัน
(โมริเธอเรียม)
สายวิวัฒนาการของช้างเริ่มขึ้นเมื่อกว่า 40 ล้านปีที่แล้ว ในทวีปแอฟริกา โดยเริ่มต้นจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเท่าหมู ที่ชื่อ โมริเธอเรียม (moeritherium) สัตว์ชนิดนี้หนักประมาณ 100 กิโลกรัม และยังไม่มีงวงหรืองาแต่อย่างใด จากหลักฐานของซากดึกดำบรรพ์แสดงให้เห็นว่า โมริเธอเรียมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตามหนองน้ำและกินอาหารจำพวกพืชใบอ่อน ทั้งอาจมีพฤติกรรมหลายอย่างคล้ายกับฮิปโปโปเตมัสในปัจจุบัน
เมื่อสภาพอากาศของโลกเย็นลง ป่าดิบชื้นและพื้นที่หนองบึงที่เคยมีอยู่มากมายในทวีปแอฟริกาเริ่มลดน้อย พวกโมริเธอเรียมต้องออกเดินทางไกลขึ้นเพื่อหาแหล่งน้ำและอาหาร ทำให้ขาของพวกมันเริ่มยาวขึ้น การมีขาที่ยาวขึ้นแม้จะมีข้อดีในการทำให้เดินทางได้ไกลและเร็วขึ้น ทว่าก็ทำให้การกินอาหารตามพื้นทำได้ยาก พวกมันจึงเริ่มพัฒนาริมฝีปากบนและจมูกให้ยาวขึ้นจนมีลักษณะเป็นงวงสั้นๆ
30 ล้านปีก่อน ช้างยุคแรกได้มีวิวัฒนาการมาจากโมริเธอเรียม นั่นคือ ฟิโอเมีย (phiomia) ซึ่งนอกจากจะมีงวงสั้นๆ แล้ว พวกมันยังมีงาขนาดเล็กสี่กิ่งเพื่อช่วยในการช้อนพืชน้ำขึ้นมาเป็นอาหารอีกด้วย
ช้างยุคแรกบางส่วนได้อพยพออกจากทวีปแอฟริกาเข้าไปยังยุโรปและเอเชีย ในขณะเดียวกัน ทุ่งหญ้าและป่าละเมาะก็ได้ขยายตัวจนแทนที่ป่าดงดิบในพื้นที่หลายส่วนของโลก ทำให้สัตว์พวกนี้ต้องปรับตัว จากสัตว์ที่หากินอยู่ตามที่ลุ่มหนองบึง กลายมาเป็นสัตว์ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า พวกมันเริ่มกินอาหารที่หลากหลายทั้งพืชน้ำ ใบไม้ หญ้า รวมทั้งรากไม้และเปลือกไม้ จนกระทั่งเมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว พวกช้างก็ได้วิวัฒนาการจนมีลักษณะของฟันและงาในรูปแบบต่างๆที่เหมาะกับอาหารของพวกมัน
(แพลททีเบโลดอน)
(ไดโนเธอเรียม)
อย่างไรก็ตาม ช้างเหล่านี้ ก็ยังดูไม่เหมือนกับช้างในยุคปัจจุบัน พวกมันมีหัวกระโหลกค่อนข้างยาว งาสั้นหนาและส่วนใหญ่จะมีสี่กิ่ง อย่างเช่น เตราโลโฟดอนที่สูงเกือบสามเมตรและมีงาสั้นหนาสองคู่งอกจากขากรรไกรบนและล่าง แพลททีเบโลดอนซึ่งมีงาสองคู่เช่นกัน โดยคู่บนเป็นงาสั้นๆ มีปลายโค้งลง ส่วนงาคู่ล่างนั้นแบนใหญ่คล้ายพลั่ว หรืออย่างไดโนเธอเรียมที่มีขนาดเท่าๆ กับช้างในยุคปัจจุบัน แต่มีงาอยู่ที่ขากรรไกรล่างสองกิ่งและปลายงาชี้ลงต่ำ
เมื่อ 5 ล้านปีที่แล้ว ได้มีช้างอีกชนิดหนึ่งที่วิวัฒนาการขึ้นมา นั่นคือ พวกสเตโกดอน พวกมันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับช้างที่เราคุ้นเคยกัน ยกเว้นลักษณะของกระโหลกที่เป็นโดมคอนข้างสูงและฟันที่มีลักษณะแตกต่างไปจากช้างยุคปัจจุบัน
(สเตโกดอน)
หลังจากโลกเข้าสู่ยุคพลีสโตซีน ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อราว 2 ล้านปีก่อน พวกช้างได้แพร่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางจนเกิดชนิดพันธุ์ต่างๆขึ้นมากมาย โดยนอกจากจะมีช้างแบบเดียวกับในยุคปัจจุบันแล้ว ยังมีช้างชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ช้างอะนันคัสที่มีงาเป็นเส้นตรงยาวถึงสี่เมตร ช้างแมมมอธขนยาวงาโค้งที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสเตปป์ ช้างมาสโตดอนที่ดูคล้ายกับแมมมอธขนยาวแต่มีลำตัวที่ยาวกว่า และช้างโคลัมเบียนแมมมอธซึ่งเป็นช้างที่ใหญ่ที่สุด โดยสูงกว่าสี่เมตรและหนักกว่าสิบตัน นอกจากนี้ยังมีช้างแคระหลายชนิดอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ในยุโรปและเอเชียด้วย
(ช้างแมมมอธ)
(โคลัมเบียน แมมมอธ)
ช้างชนิดต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั่วไป ทั้งในทวีปอาฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และบางส่วนของอเมริกาใต้ โดยถือเป็นหนึ่งในสัตว์กินพืชที่ประสบความสำเร็จในการขยายเผ่าพันธุ์มากที่สุดในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม ช้างเกือบทุกชนิดก็ได้สูญพันธุ์ไปหลังการสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งเมื่อ 10,000 ปีก่อน คงเหลือช้างเพียงสามชนิดในปัจจุบันเท่านั้น คือ ช้างทุ่งแอฟริกา ช้างป่าแอฟริกา และ ช้างเอเชีย
ส่วนใหญ่บทความที่นำมาลงมักจะมีข้อความมากสักหน่อย กลัวว่าเพื่อนๆ จะเบื่อในการอ่าน แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องขอเพิ่มเติมอีกสักหน่อย ถ้าเพื่อนๆ ได้อ่านถึงช่วงแมมมอธด้านบนนี้มันมีอะไรให้เราได้ผูกเรื่องหลายเรื่องเข้าด้วยกันกับกระแสข่าวแมมมอธช่วงนี้หลายเรื่อง
1. ช้างแมมมอธที่พบในข่าวระยะนี้ก็มักจะเป็นพันธุ์ขนปุย ซึ่งพันธุ์ขนปุยนี้มีขนาดใกล้เคียงกับช้างเอเซีย ดังนั้นกรณีที่นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่กำลังเตรียมการโคลนนิ่งจึงใช้ช้างเอเซียเข้าร่วมโครงการ (รายละเอียดอ่านได้ในเรื่อง "นักวิทย์ญี่ปุ่นเตรียมโคลนนิ่งแมมมอธภายใน 5ปี"
2.จากบทความนี้ทำให้เราได้ทราบเพิ่มเติมว่า ช้างแมมมอธที่เราเคยเห็นในสารคดีที่มีแต่ตัวขนปุกปุย งายาว และสุงใหญ่นั้น จริงๆ แล้วญาติของมันที่ชื่อ โคลัมเบียนแมมมอธ เป็นช้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีควาามสูงที่ไหล่ราวสิบสามฟุต และอาจหนักเกือบ 6 ตัน มีงายาวโค้งและมีศรีษะเป็นรูปโดมสูงเหมือนแมมมอธขนปุย ขณะที่แมมมอธขนปุยสูงประมาณ 9-10 ฟุต และหนักประมาณ 5 ตันเท่านั้น
ยังมีเรื่องราวหลากหลายให้เพื่อนๆ ได้อ่านอีกมากมาย บทความผมมันอาจจะไม่ค่อยบันเทิงเท่าไหร่แต่กลับหนักไปสักนิด ซึ่งต่างจากที่ผ่านมาของโพสท์จังก็ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ชอบกันหรือเปล่า หรือบอร์ดของโพสท์จังเองยินดีที่จะรับเรื่องแบบนี้อยู่หรือไม่ แต่ทั้งหมดก็เพื่ออยากให้เพื่อนๆ ส่วนหนึ่งที่ชอบบทความสไตล์นี้ได้อ่านกัน ขอบคุณทุกคนครับ
เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
ที่มา: komkid.com