State Visit ระหว่างจีนกับอเมริกา 2017 พิธีการสูงสุดที่ซ่อนสัญญาณแห่งรอยปริแตก
ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยทำ “State Visit” ต่อกัน ซึ่งถือเป็นระดับพิธีการสูงสุดของการทูตระหว่างรัฐ แต่เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ทั้งสองประเทศกลับเปิดฉาก “สงครามการค้า” อย่างดุเดือด และลากยาวข้ามสมัย จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นรากลึกของความเป็นคู่แข่งเชิงโครงสร้างของสหรัฐฯ—จีน นี่คือความย้อนแย้งสำคัญ: State Visit เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ แต่ในหลายครั้งมันกลับเป็น “รอยปะชั่วคราว” ที่ปิดรอยปริแตกขนาดใหญ่ที่กำลังคลี่ตัวอยู่ด้านล่าง และนี่ทำให้มันน่าสนใจมากว่า “พิธีการ” ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรม แต่มันคือภาษาทางการเมืองชนิดหนึ่ง
พิธีกรรมทางการทูตที่มักปรากฏในยามวิกฤติ กล่าวคือ State Visit ไม่ได้ถูกใช้พร่ำเพรื่อ มันคือช่วงเวลาที่ผู้นำประเทศหนึ่งได้รับการต้อนรับด้วยเกียรติยศเต็มรูปแบบ ตั้งแต่พรมแดง การตรวจแถวกองเกียรติยศ งานเลี้ยงราชการ ไปจนถึงการจัดกิจกรรมเฉพาะเพื่อ “ยกย่อง” แขกผู้มาเยือน ทว่าในมิติทางรัฐศาสตร์ มีการตีความว่า State Visit มักจะถูกใช้ในยามที่ “มีรอยปริแตกบางอย่าง” เกิดขึ้นแล้ว หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า มันจึงไม่ใช่แค่สัญญาณของมิตรภาพ แต่เป็นพิธีกรรมเพื่อ “รั้ง” ความสัมพันธ์ “เตือน” ระหว่างกัน หรือแม้กระทั่ง “ง้อ” เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง
State Visit ของทรัมป์ในจีน แต่จุดสูงสุดของพิธีการ จุดเริ่มต้นของความแตกหัก เพราะจุดสูงสุดของพิธีการครั้งนั้นคือการที่จีนจัดให้ทรัมป์ “State Visit Plus” ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า State Visit อีกชั้น พูดง่าย ๆ คือ ทั้งพรมแดง ทั้งภาพลักษณ์ ทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรม ล้วนถูกจัดแบบพรีเมียมชนิดพิเศษ เป้าหมายคือทำให้ทรัมป์รู้สึกได้รับเกียรติสูงสุด แต่ในทางประวัติศาสตร์ นี่กลับกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการเผชิญหน้าแบบเปิดเผยในเชิงโครงสร้าง เพราะอีกไม่นาน สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ก็ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าเกือบทุกชนิดจากจีน พร้อมเหตุผลว่า “จีนเอาเปรียบมานานเกินไป” พิธีการจึงไม่สามารถหยุดความจริงที่ใหญ่กว่านั้นได้
จีนพยายามใช้พิธีการที่ยิ่งใหญ่เพื่อ “ปรุงแต่ง” บรรยากาศทวิภาคี หวังว่าจะลดแรงเสียดทานของนโยบาย America First ที่ทรัมป์ผลักดันอย่างหนัก แต่ทรัมป์คือผู้นำที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพิธีการอีกต่อไป เขาไม่ใช่ประธานาธิบดีสายประเพณีนิยมแบบบูชาสัญลักษณ์ เขาคิดตรง ๆ ทำตรง ๆ และพร้อมจะเขย่าโครงสร้างโลกเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ จีนจึงใช้ “ภาษาแห่งพิธีการ” แต่สหรัฐฯ พูด “ภาษาแห่งผลประโยชน์และโครงสร้าง” ทำให้ทั้งสองภาษาไม่สามารถสื่อถึงกันได้
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดคำถามว่า “การทูตเชิงอัตตา” ใช้ได้ผลแค่ไหน? นักวิชาการมองเรื่องนี้ 2 ทาง
1 มันสามารถทำงานได้ถ้าผู้นำประเทศนั้นให้ความสำคัญกับเกียรติและภาพลักษณ์
2 มันอาจล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หากผู้นำไม่ได้สนใจพิธีการ แต่กลับใช้ “อัตตา” เป็นเครื่องมือทำการเมืองของตัวเอง
กรณีทรัมป์อยู่ในหมวดหลัง เขาใช้บุคลิกที่ดู “บ้ายอ” เพื่อควบคุมทางอารมณ์และการคำนวณของฝ่ายตรงข้าม จีนจึงคิดว่าทรัมป์ต้องการการยกย่อง แต่จริง ๆ เขาใช้ภาพของ “คนขี้อวย” เป็นกลยุทธ์ให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดไพ่ก่อน
จีนเสนอ “ดีลทางการค้า” แต่สหรัฐฯ ต้องการ “แก้โครงสร้าง”
ในการเยือนปี 2017 จีนนำเสนอ “ดีลการค้า” ให้ทรัมป์ เช่น การซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม การเพิ่มยอดนำเข้า และการเปิดตลาดบางด้าน เป้าหมายคือเอาใจทรัมป์เพื่อให้เขาผ่อนหนักเป็นเบา ทว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการในระดับโครงสร้างคือ
- ให้จีนหยุดบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี
- หยุดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
- หยุดอุดหนุนรัฐวิสาหกิจแบบไม่เป็นธรรม
จีนให้ “ดีล” แต่ไม่ยอมให้ “การเปลี่ยนโครงสร้าง” ประโยคนี้ทำให้ข้อตกลงทั้งหมดพังลง และทำให้สหรัฐฯ เชื่อว่าการเยือนครั้งนั้น “ล้มเหลวเชิงยุทธศาสตร์”
จีนคำนวณผิด: ประเมินกระแสต่อต้านจีนต่ำเกินไป
จีนคิดว่าการเอาใจทรัมป์จะทำให้เขาอ่อนลง หรืออย่างน้อยก็เห็นว่าเป็นมิตรภาพเชิงสัญลักษณ์ แต่สิ่งที่จีนประเมินต่ำไปคือ “กระแสต่อต้านจีนในวอชิงตัน” ที่แข็งแรงมากทั้งในพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน สหรัฐฯ โดยรวมลุกขึ้นมองจีนเป็น “ภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์” ไปแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นเรื่องเทคโนโลยี ความมั่นคง การทหาร และบทบาทในอินโด–แปซิฟิก จีนพลาดตรงนี้ ทำให้แม้อัดพิธีเต็มสูบ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนกระแสได้
บุคลิกทรัมป์: ไม่ได้บ้ายศ แต่ใช้ภาพคนบ้ายอเป็นอาวุธ
เพราะไม่เชื่อว่าทรัมป์โดยแก่นเป็นคน “บ้ายศ” แบบที่คนทั่วไปคิด คนที่เกิดและโตมาในนิวยอร์ก โดยเฉพาะคนที่ผ่านวัฒนธรรมธุรกิจอสังหาฯ ยุค 70–90 บุคลิกของทรัมป์คือ “ฉันใหญ่เพราะฉันเล่นเกมได้” ไม่ใช่ “ฉันใหญ่เพราะต้องให้คนมายกย่อง” ดังนั้น ทรัมป์สวมบทคนบ้ายอเพื่อให้คู่เจรจาคิดผิดพลาด ให้ฝ่ายตรงข้ามโชว์ไพ่ก่อน และให้เขาเก็บดีลกลับเข้ากระเป๋าเอง นี่คือการใช้บุคลิกเป็นอาวุธ มากกว่าเป็นความต้องการยศศักดิ์จริง ๆ
ถ้าทรัมป์บ้ายศจริง ๆ เขาจะไม่ทำตัว “ปล่อยเซอร์” ในหลายเหตุการณ์ เช่น เดินนำผู้นำชาติอื่นแบบไม่สนพิธีการ ทำเนียบขาวจัดงานแบบง่าย ๆ ไม่เน้นพิธีเฉลิมฉลอง หรือแม้แต่ล้อเลียนพิธีการของคนอื่นในเวทีนานาชาติ ทรัมป์คือคนที่ใช้ “การไม่สนพิธี” เป็นข้อความทางการเมืองในตัวเอง และเขาเชื่อในทฤษฎีเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าที่คนคิด เขาพูดเรื่องกองทัพเรือ ทฤษฎี Sea Power การสร้างอำนาจจากทะเล และการเพิ่มงบกองทัพเรือตั้งแต่วันแรก ๆ ของการเข้ารับตำแหน่ง ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นกระแสหลักของสังคมอเมริกันในยุคดิจิทัล แต่เป็นเรื่องโครงสร้างอำนาจของรัฐมหาอำนาจ
เบื้องหลังรัฐพิธี คือภาษาแห่งอำนาจที่ต้องอ่านให้ขาด
ดังนั้น “State Visit” จึงไม่ใช่แค่พิธีการหรูหรา มันคือการต่อรองทางสัญลักษณ์ เป็นการเล่นละครเวทีทางอำนาจที่ทั้งสองฝ่ายพยายามซ่อนความจริงไว้เบื้องหลัง การเยือนปี 2017 ของทรัมป์ในจีนเป็นตัวอย่างคลาสสิก: ภายนอกสวยงาม แต่ภายในคือการต่อสู้เชิงโครงสร้างที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ และระเบิดจริงในสงครามการค้าในเวลาไม่นาน การอ่านรัฐพิธีจึงต้องอ่านทั้งสองชั้น ชั้นพิธีกรรม และชั้นโครงสร้าง ถ้าไม่อ่านสองชั้นนี้พร้อมกัน เราจะมองเห็นแต่ความสวยงาม แต่ไม่เห็นรอยปริแตกที่กำลังขยายตัวอยู่ใต้เท้า
อ้างอิงจาก:
1. “Remarks by President Trump and President Xi of China Before Expanded Bilateral Meeting, Beijing, China” (White House Archives) – https://trumpwhitehouse.archives.gov/briefings-statements/remarks-president-trump-president-xi-china-expanded-bilateral-meeting-beijing-china/ 
2. “Xi Jinping and Donald Trump Hold China-US Presidents’ Meeting” (Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of China) – https://www.mfa.gov.cn/eng/zy/jj/2017zt/xjpdfljxgsfwbfmgflldjxzmyshw/202406/t20240606_11380627.html 
3. “Trump’s State Visit to China” (China-US Institute for China & America Studies) – https://chinaus-icas.org/research/trumps-state-visit-to-china/ 
4. “What happened when Trump met Xi?” (Brookings Institution) – https://www.brookings.edu/articles/what-happened-when-trump-met-xi/ 
5. “China isn’t the first country to flatter its way to Trump’s heart” (Vox) – https://www.vox.com/world/2017/11/8/16614136/trump-china-xi-jinping-asia
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
เขมร มาตามนัด ประชุม GBC
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
ลือสะพัด เกาหลีใต้ถีบส่งแรงงานเขมรกลับบ้าน 5 หมื่นราย หลัง 37 องค์กรเกาหลี ไม่ทนพวกเขมรป่วนเมือง
เขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"
อาเซียนเทเขมร ไม่เอาด้วย โยนให้ไทย กับกัมพูชาไปเคลียร์กันเอง
ปิดฉากบทบาทนักการเมือง! "นอท พันธ์ธวัช" ย้ำชัดลาออกพรรคเปลี่ยน พร้อมประกาศจุดยืนไม่หนุนฝ่ายใด
ทำไมกวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสถึงอาจเป็น "ตัวเมีย" ทั้งฝูง
ป้าฟันต้นมะม่วงแก้วขมิ้นเพราะเกลียดเขมรที่ทำร้ายคนและทหารไทย ยอมรับความเกลียดและอยากให้ทหารจัดการเรื่องนี้เร็วๆ
ปิดฉากบทบาทนักการเมือง! "นอท พันธ์ธวัช" ย้ำชัดลาออกพรรคเปลี่ยน พร้อมประกาศจุดยืนไม่หนุนฝ่ายใด
อาเซียนเทเขมร ไม่เอาด้วย โยนให้ไทย กับกัมพูชาไปเคลียร์กันเอง
“รอยแผลบนขาของพลายประตูผา…คือรอยน้ำตาของคนทั้งแผ่นดิน”










