"กรมทหารรักษาวัง" กองทัพส่วนพระองค์ที่เกิดและดับพร้อมกับยุคสมัย
หน่วยทหารพิเศษในร่มพระบารมี
ในหน้าประวัติศาสตร์การทหารและการเมืองไทยสมัยใหม่ มีหน่วยงานหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นจากความจำเป็นทางการเมืองและดำรงอยู่เพื่อค้ำจุนความมั่นคงแห่งพระราชบัลลังก์โดยเฉพาะ นั่นคือ "กรมทหารรักษาวัง" หน่วยงานนี้มิใช่เพียงกองกำลังอารักขาตามแบบแผน แต่เป็นกองทัพส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงจัดตั้งขึ้นด้วยพระราชประสงค์ส่วนพระองค์ ดังนั้น การศึกษาการก่อตั้ง โครงสร้าง และจุดจบของกรมทหารรักษาวัง จึงไม่ใช่เป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราวของหน่วยทหารหน่วยหนึ่ง แต่คือการชันสูตรความพยายามของสถาบันกษัตริย์ในการสร้างเครื่องมืออำนาจส่วนพระองค์ เพื่อรับมือกับความท้าทายทางการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง
กรมทหารรักษาวังเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจัยชี้ขาดที่นำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงานพิเศษนี้มิใช่ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ แต่มาจากชนวนเหตุสำคัญที่สั่นคลอนความไว้วางพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อกองทัพ อันเป็นกลไกอำนาจหลักของรัฐในขณะนั้น
จุดกำเนิดจากความระแวง: ผลสะเทือนแห่งกบฏ ร.ศ. 130
รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนต่อระเบียบอำนาจแบบเดิม เหตุการณ์ "กบฏ ร.ศ. 130" ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดด้านความมั่นคงส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ และเป็นแรงผลักดันโดยตรงที่นำไปสู่การก่อตั้งกองกำลังที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้อย่างสมบูรณ์
การท้าทายพระราชอำนาจครั้งแรก
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2454 ได้เกิดเหตุการณ์ที่อาจนับได้ว่าเป็น "การปฏิวัติครั้งแรกของประเทศไทย" หรือที่รู้จักกันในนาม "กบฏ ร.ศ. 130" กลุ่มนายทหารหนุ่มจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีแกนนำคนสำคัญประกอบด้วย:
• ร้อยเอก เหล็ง ศรีจันทร์
• ร้อยโท จรูญ ณ บางช้าง
• ร้อยตรี จรูญ ษตะเมษ
• ร้อยตรี เจือ ศิลาอาศน์
แม้ว่าแผนการจะล้มเหลวและคณะผู้ก่อการถูกจับกุมได้ทั้งหมด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงในพระราชบัลลังก์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ที่สถาบันกษัตริย์ถูกท้าทายพระราชอำนาจโดยตรงจากกลุ่มบุคคลที่เป็นสามัญชน ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นการพังทลายของความเชื่อเดิมที่ว่ากองทัพคือผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ที่ภักดีอย่างไม่มีเงื่อนไข และได้สร้างรอยร้าวลึกในความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับกลไกอำนาจทางทหารของรัฐอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปฏิกิริยาทันที: การก่อตั้งหน่วยทหารส่วนพระองค์
ผลสะเทือนจากเหตุการณ์กบฏนำไปสู่การตัดสินพระทัยครั้งสำคัญ หลังจากนั้นเพียง 3 เดือน หน่วยงานทหารส่วนพระองค์ที่ชื่อว่า "กรมทหารรักษาวัง" ก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่ถวายความปลอดภัยเป็นการส่วนพระองค์ แทนที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เดิม
การก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาใหม่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว "ทรงไม่วางใจกองทัพ" อีกต่อไป พระองค์จึงทรงมุ่งหวังให้กรมทหารใหม่นี้เป็นดั่งปราการด่านสุดท้ายและเป็นหลักประกันความมั่นคงที่แท้จริงให้แก่พระองค์และพระราชบัลลังก์
โครงสร้างองค์กร: กองทัพในกำกับดูแลโดยตรง
โครงสร้างของกรมทหารรักษาวังถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เป็นอิสระจากระบบราชการทหารปกติ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระมหากษัตริย์โดยตรง การออกแบบนี้สะท้อนเป้าหมายสูงสุดในการสร้างกองกำลังที่มีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้งและสามารถควบคุมสั่งการได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ความเป็นอิสระจากกองทัพ
กรมทหารรักษาวังมีลักษณะเป็นองค์กรอิสระที่แยกขาดจากกองทัพบกอย่างสิ้นเชิงในหลายมิติ ดังนี้:
• สายการบังคับบัญชา: แยกออกจากกระทรวงกลาโหมโดยสิ้นเชิง
• ผู้บังคับบัญชาสูงสุด: มีสมุหราชองครักษ์เป็นผู้บังคับการ ทำหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการโดยตรงจากพระมหากษัตริย์
• งบประมาณ: ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ใช้เงินจาก "พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์" ในการดำเนินกิจการทั้งหมด
• กระบวนการยุติธรรม: มี "ศาลทหารรักษาวัง" เป็นของตนเอง สำหรับพิจารณาคดีความของกำลังพลในสังกัดโดยเฉพาะ
การจัดสรรกำลังพลและบุคลากร
หน่วยงานถูกจัดแบ่งโครงสร้างออกเป็น 2 กองพัน โดยมีการกำหนดพื้นที่ประจำการอย่างชัดเจน ได้แก่:
• กองพันที่ 1 ประจำการที่พระบรมมหาราชวัง
• กองพันที่ 2 ประจำการที่พระราชวังดุสิต
ที่มาของกำลังพลนั้นเน้นการคัดเลือกจากบุคคลใกล้ชิดและข้าราชบริพารที่สามารถไว้วางพระราชหฤทัยได้เป็นหลัก โดยมีที่มาจากหลายส่วนประกอบกัน คือ:
• ข้าราชบริพารที่โอนย้ายมาจาก "กรมวังนอกเดิม"
• ข้าราชการในพระราชสำนัก และมหาดเล็กในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่สมัครเข้าร่วม
• นายทหารบางส่วนจากกระทรวงกลาโหมที่ทรงมีพระราชประสงค์ขอให้โอนย้ายมาสังกัด
คัดเลือกผู้นำที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ในส่วนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงนั้น พระองค์ทรงคัดเลือกจากบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่งและทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด ตัวอย่างเช่น:
• จเรทหารรักษาวัง: พระยาประสิทธิ์ศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ)
• รองจเรทหารรักษาวัง: พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี (แมค เศียนเสวี)
• ผู้บังคับการกรม: พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ)
แม้โครงสร้างที่เน้นความภักดีเช่นนี้จะดูแข็งแกร่งในแง่ของการควบคุม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพและความขัดแย้งเชิงบทบาทตามมาในภายหลัง
ปัญหาภายในและความขัดแย้งเชิงบทบาท
การให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีเหนือกว่าความสามารถทางการทหาร ประกอบกับบทบาทที่ขยายออกไปนอกเหนือภารกิจการอารักขา ทำให้กรมทหารรักษาวังต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่สำคัญสองประการ
ช่องว่างทางยุทธวิธี: จากข้าราชบริพารสู่ทหาร
ปัญหาพื้นฐานที่สุดของหน่วยงานนี้คือ กำลังพลส่วนใหญ่ซึ่งเป็นข้าราชบริพารที่ถูกโอนย้ายมานั้น "ไม่มีความรู้เรื่องยุทธวิธีทางการทหาร หรือมีอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อยจากการเข้ารับการฝึกเสือป่า" ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเป็นหน่วยทหารเต็มรูปแบบ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนนี้ รัชกาลที่ 6 จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดตั้งโรงเรียนนายสิบขึ้นภายในหน่วยงาน โดยให้ "เปิดสอนหลักสูตรนายสิบตามแบบกองทัพบก" เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถของกำลังพลให้ทัดเทียมกับทหารอาชีพ
การแทรกแซงกิจการกองทัพ
นอกเหนือจากภารกิจถวายความปลอดภัย กรมทหารรักษาวังยังมีบทบาทในการ "แทรกแซงกิจการภายในกองทัพบก" กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือ "เรื่องการเกณฑ์ทหาร" โดยทรงมีพระบรมราชานุญาตให้กรมทหารรักษาวังสามารถทำการเกณฑ์ทหารได้เช่นเดียวกับกองทัพบก ซึ่งส่งผลให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงวังและข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดในพระองค์สามารถเข้าประจำการในหน่วยงานนี้ และไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารในสังกัดของกองทัพบกตามปกติ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างสิทธิพิเศษให้แก่คนกลุ่มหนึ่ง แต่ยังเป็นการบ่อนทำลายหลักการของระบบการเกณฑ์ทหารแห่งชาติอย่างเป็นระบบ และส่งผลโดยตรงให้เกิดความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่าง 'กองทัพของวัง' และ 'กองทัพของรัฐ' ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางพระราชหฤทัยและสร้างความบาดหมางกับผู้นำในกองทัพบกมากขึ้นไปอีก
หน่วยงานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ และผูกติดกับพระราชประสงค์ส่วนพระองค์ของผู้ปกครองเช่นนี้ ย่อมมีชะตากรรมที่ไม่ยั่งยืนเมื่อบริบททางการเมืองและยุคสมัยได้เปลี่ยนไป
จุดสิ้นสุดของหน่วยงาน: เมื่อสิ้นรัชสมัยแห่งผู้ก่อตั้ง
ชะตากรรมของกรมทหารรักษาวังผูกติดอยู่กับรัชสมัยของพระผู้ก่อตั้งอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สถานะของหน่วยงานนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจในรัชสมัยต่อมาได้นำไปสู่การยุบเลิกหน่วยงานนี้ในที่สุด
ภายหลังสิ้นรัชกาลที่ 6 กรมทหารรักษาวังซึ่งเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะกิจ ได้กลายเป็น "ส่วนเกินของระบบราชการเช่นเดียวกับกิจการเสือป่า" ลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดจบของหน่วยงานนี้เป็นไปตามขั้นตอนดังนี้:
สมัยรัชกาลที่ 7: พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง "ลดความสำคัญ ด้วยการลดทอนอัตรากำลังพล" เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและลดทอนหน่วยงานที่ถือเป็นส่วนพระองค์ของรัชกาลก่อน
ยุคคณะราษฎร: หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หน่วยงานที่มีลักษณะเป็นกองทัพส่วนพระองค์เช่นนี้ไม่สอดคล้องกับระเบียบการปกครองใหม่ จึงได้ถูก "ยุบเลิกไป" ในที่สุด เป็นการปิดฉากกองกำลังพิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อพิทักษ์ราชบัลลังก์โดยสมบูรณ์
มรดกและบทเรียนจากกรมทหารรักษาวัง
เรื่องราวของกรมทหารรักษาวัง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มาจากความหวาดระแวงทางการเมืองหลังเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 สู่การสร้างองค์กรที่เน้นความภักดีส่วนพระองค์เป็นหัวใจ ไปจนถึงปัญหาภายในด้านศักยภาพและความขัดแย้งกับกองทัพ และสิ้นสุดลงพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศ คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของสภาวะความเปราะบางในโครงสร้างอำนาจรัฐช่วงปลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
กรณีศึกษาของกรมทหารรักษาวังจึงเป็นมากกว่าบันทึกประวัติศาสตร์ของหน่วยทหารหน่วยหนึ่ง ท้ายที่สุด เรื่องราวของกรมทหารรักษาวังได้กลายเป็นบทเรียนเชิงประจักษ์ว่า สถาบันที่ถูกสร้างขึ้นจากเจตจำนงส่วนบุคคลและขาดการยอมรับจากโครงสร้างอำนาจหลักของรัฐ ย่อมมิอาจต้านทานแรงเฉื่อยของการปฏิรูปสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ และมีชะตากรรมที่จะต้องล่มสลายไปพร้อมกับระบอบการเมืองที่ให้กำเนิดมันขึ้นมา
อ้างอิงจาก: ทหารของพระราชากับการสร้างสำนึกแห่งศรัทธาและภักดี, หนังสือเล่มนี้พัฒนามาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งครอบคลุมประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับกองทัพไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึง พ.ศ. 2497 ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์การกำเนิดของหน่วยทหารส่วนพระองค์อย่าง กรมทหารรักษาวัง และบทบาทในการสร้างความจงรักภักดีในกองทัพสมัยใหม่, “กรมทหารรักษาวังของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” : พลเรือนในเครื่องแบบทหาร, เป็นบทความตีพิมพ์ในวารสารศิลปวัฒนธรรม (มีนาคม 2559) และเผยแพร่ในระบบออนไลน์ ซึ่งวิเคราะห์การก่อตั้ง บทบาท และความสัมพันธ์ของกรมทหารรักษาวังในบริบทของความไม่วางพระทัยต่อกองทัพบกในรัชกาลที่ 6 โดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะที่เป็น "พลเรือนในเครื่องแบบทหาร"
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
"DJ Sakura Soh" กับบทบาทใหม่ในวงการ JAV
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
เรื่องราวสุดประทับใจของ คาร์ลอส เฟรสโก (Carlos Fresco) และ มอนตี้ (Monty) สุนัขพันธุ์ลาบาดูดเดิลแสนรักวัย 10 ปี
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
พุทธศิลป์แนวใหม่หรือวัตถุนิยม? กระแสวิจารณ์ "หัวใจพระพุทธเจ้า" ทรงอนาโตมี
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
Trip “พม่า ท่าขี้เหล็ก” ฉบับคนไปทำงาน
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ปรับทัศนคติให้ถูกทาง
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
เปิดตำนานคุณลุงซานต้า: จากนักบุญใจบุญยุคโบราณ สู่ชายชุดแดงพุงพลุ้ยที่โคคา-โคล่าช่วยปั้น! 🎅🦌
อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัว
ทึ่งทั่วโลก :แม่น้ำสองสี "อารากวี" (Aragvi) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามน่าทึ่งในประเทศจอร์เจีย
