ค้นหา 100 ครั้ง พบตัวเอง 1 ครั้ง
“การค้นหาตัวเอง” ก็เหมือนกับ “การชิมอาหาร”
คุณจะรู้ว่าเมนูไหนคือของโปรดของคุณ ก็ต่อเมื่อคุณลองชิมหลายๆ อย่าง
แม้บางที่คุณเจอแล้วว่าอะไรคือเมนูที่คุณชอบมากที่สุด แต่พอเวลา ผ่านไป คุณได้ลองชิมอาหารเมนูใหม่ คุณก็อาจพบเมนูที่คุณชอบมากกว่า ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่ค้นหาตัวเองไม่เจอ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบ อะไร หรือบางทีเหมือนจะเจอแล้ว แต่พอเวลาผ่านไปมันก็ไม่ใช่อยู่ดี สิ่งที่ผมทํามาตลอดตั้งแต่เด็กก็คือ การศึกษา ทดลอง และปรับใหม่ ตอนอายุ 5 ขวบ ผมจําได้ว่าตัวเองนั่งดูรายการทีวีอยู่ แล้วบังเอิญ ในทีวีมีการแสดงโชว์กีฬาเทควันโด ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกว่า กีฬาอะไร ผมรู้แค่ว่ามันคือกีฬาต่อสู้ที่ชุดเท่มาก ซึ่งผมเองก็ชอบเล่นต่อสู้กับน้องชายอยู่แล้วด้วย
จากนั้นผมก็ใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เดินทางไปเรียน เทควันโดที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ 40 กิโลเมตร โดยติดรถบรรทุก สิบล้อหรือรถกระบะของร้านวัสดุก่อสร้างของพ่อที่มีคิวไปส่งอิฐ หิน ปูน ทราย ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นทางผ่านของโรงเรียนสอนเทควันโดพอดี
ความฝันของผมคือการเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติ ผมตั้งใจฝึกซ้อมทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านทุกวัน โดยให้ความสําคัญ กับกีฬามากกว่าการเรียน พูดง่ายๆ คือ “กีฬาเป็นเลิศ ส่วนการเรียนแค่ ให้ผ่านก็พอ” ซึ่งผลการเรียนของผมก็แค่พอผ่านจริงๆ ผมฝึกซ้อมและแข่งขันในระดับต่างๆ มาเกือบ 10 ปี จนขึ้นไปแข่งขัน ในระดับประเทศได้ แต่เชื่อไหมว่าตลอดชีวิตของผม พ่อแม่เดินทางไป ดูผมแข่งจริงๆ แค่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือ ตอน ป.6 ในรายการชิงแชมป์ภาคใต้ ปี 2008 ที่จังหวัด สงขลา ซึ่งตอนแรกพ่อแม่ไม่ได้มาดู แต่พอผมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ ท่านก็ขับรถเดินทางมาดูผม กับอีกรายการคือ รายการชิงชนะเลิศแห่ง ประเทศไทย ปี 2009 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งผมเดินทางไปพร้อมกับแม่ เหตุผลที่ท่านไม่ค่อยมาดู ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า “ไม่อยากเห็นลูก ตัวเองโดนเตะ และต้องเจ็บตัว
แต่ผมก็ไปไกลที่สุดได้แค่นั้น ไม่ได้ติดทีมชาติตามที่ตัวเองฝันไว้ ในขณะที่เล่นกีฬาเทควันโด ผมค้นพบว่าตัวเองมีทักษะการสอนที่ ดี เพราะเวลาฝึกซ้อมครูมักจะให้ผมไปสอนพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เสมอ ซึ่ง ทุกคนที่ผ่านการสอนจากผมก็มักจะทําการทดสอบได้ดี ผมเลยเข้าสู่การเป็นผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโด ตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยครู ฝึกในโรงเรียน จนกระทั่งออกมาทําธุรกิจโรงเรียนสอนเทควันโด ผมสอน เทควันโดมาประมาณ 6 ปี ตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่ 5 จนจบมหาวิทยาลัย ปี 4 ก็เริ่มรู้สึกว่าอิ่มตัวกับตรงนี้
ผมเลยเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ ทํา ซึ่งตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 มีเพื่อนในสาขาชักชวนไปแข่งขันประกวดไอเดียธุรกิจสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นโครงการของมหาวิทยาลัย เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองทําธุรกิจโรงเรียน สอนเทควันโดแบบงูๆ ปลาๆ มาตลอดคือใช้แค่ความรู้ด้านกีฬาเทควันโดและทักษะการสอน แต่ไม่มีความรู้ ด้านธุรกิจเลย จนทําโรงเรียนเจ๊งไป 2 รอบ จึงคิดว่าน่าจะไปลองเรียนรู้ ดูสักหน่อย ซึ่งการไปแข่งขันครั้งนี้ถือว่าเปิดโลกผมอีกครั้ง เพราะใน กิจกรรมจะมีนักธุรกิจจริงๆ มาให้ความรู้เรื่องธุรกิจก่อน และได้เรียนรู้ ว่าธุรกิจจริงๆ เขาทํากันอย่างไร ซึ่งผมก็คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง
ในระดับมหาวิทยาลัยมาได้ถึงสองปีซ้อน และได้มีโอกาสไปแข่งขันในระดับประเทศแต่ก็ตกรอบ
ทั้งหมดนั้นทําให้ผมมีแพชชั่นกับการทําสตาร์ตอัพ มากถึงขนาดที่ ผนังหอพักของผมเต็มไปด้วยตาราง Business Model และไอเดียธุรกิจ เสมือนผมค้นหาตัวเองเจออีกครั้ง มันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมลุกขึ้นมา ศึกษาเรื่องธุรกิจ เริ่มอ่านหนังสือ และเข้าสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจมากขึ้น
จนถึงช่วงฤดูกาลฝึกงานก่อนเรียนจบ ผมก็ไปขอสมัครฝึกงานที่ บริษัทสตาร์ตอัพของพี่ที่เป็นกรรมการตอนแข่งขัน เพื่อหวังจะเข้าไปหาโอกาสทางธุรกิจ และผมก็ได้รับการเสนอให้เข้าทํางานประจําต่อที่ บริษัทนั้นเลยหลังเรียนจบ
อย่างไรก็ตาม มันก็ล้มเหลวหลายครั้งและไปไม่ถึงฝัน เพราะการทําสตาร์ตอัพต้องมีทีม ซึ่งการจะหาคนมาทําธุรกิจกับเราทั้งที่ยังไม่มี รายได้มันยากมากๆ
สุดท้ายความฝันของผมก็ถูกพับเก็บเอาไว้ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นผมอ่านหนังสือมาตลอด และได้ทํารายการ Live สรุปหนังสือที่ตัวเองอ่านให้เพื่อนๆ ฟังบนเฟซบุ๊กส่วนตัวตามคําขอ ของเพื่อนๆ เพราะพวกเขาอยากรู้ว่าผมอ่านหนังสืออะไรทุกวัน แต่แค่ ขี้เกียจอ่านเอง
ในจังหวะนั้นเอง ผมบังเอิญไปเจอแอปพลิเคชัน Blockdit ซึ่งเป็น แพลตฟอร์มคล้ายๆ เฟซบุ๊ก ที่เปิดให้คนเข้ามาสร้างงานเขียนของตัวเอง แถมมีค่าตอบแทนให้ด้วย ผมจึงเปลี่ยนจาก Live บนเฟซบุ๊ก ไปเขียนใน Blockdit ทันที จน มาค้นหาตัวเองเจออีกครั้งว่าเราก็พอจะเขียนอะไรให้คนอ่านรู้เรื่อง และคนก็ชอบงานเขียนของเราด้วย แล้วพอเราทําสิ่งไหนได้ดี และผู้คน ต้องการสิ่งที่เราทํา สุดท้ายเราก็ชอบมันไปโดยปริยาย ชีวิตมันก็แค่นี้
ศึกษา ทดลอง และปรับใหม่
จากคนที่เกลียดการอ่านหนังสือ ไม่เคยแม้แต่จะจดสิ่งที่อาจารย์ สอนลงสมุด ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมมองภาพตัวเองไม่ออก เลยด้วยซ้ําว่าตัวเองจะกลายมาเป็นนักเขียนได้ และที่สําคัญ ผมไม่เคย คิดเลยว่าตัวเองจะสามารถทําเงินมากมายจากการอ่านหนังสือ ด้วยการทําเพจสมองไหล และทําธุรกิจขายหนังสือออนไลน์ได้ประสบความสําเร็จ
จะว่าไปชีวิตคนเรามันก็พลิกผันหักมุมได้ตลอดเวลาจริงๆ มันไม่เคยมีอะไรแน่นอน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมทําอยู่ใน ปัจจุบัน มันใช่ตัวเองหรือเปล่า เพราะในอนาคตผมอาจจะ “ค้นหาตัว เองเจออีกคร้ง” ก็ได้
ถ้าวันนี้คุณยังหาตัวเองไม่เจอ ก็อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกับการครุ่นคิด
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
"DJ Sakura Soh" กับบทบาทใหม่ในวงการ JAV
กฎหมายใหม่"การส่งข้อความลๅมกอนๅจๅร" อาจติดคุก เริ่มใช้ ต้นปี 69
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
"เหมย หมึกเป็นซาซิมิ" แฉผัวตัวดีแอบกินกิ๊กเด็กในร้าน
บุกตรวจฐานเขมรหลังทัพไทยยึดได้ พบหลักฐานเด็ด "ปลากระป๋อง-มาม่าไทย" ยัน "ถุงยาง" เกลื่อนฐาน
Trip “พม่า ท่าขี้เหล็ก” ฉบับคนไปทำงาน
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ปรับทัศนคติให้ถูกทาง
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568



