ข่าวลือว่าสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีทองคำแท่งกำลังแพร่สะพัด ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ได้ออกจดหมายฉบับล่าสุดว่า ทองคำแท่งนำเข้าน้ำหนัก 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าการส่งออกทองคำแท่งจากสวิตเซอร์แลนด์จะได้รับผลกระทบและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำโลก

ตามรายงานของสื่อต่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากภาษีใหม่ครอบคลุมสินค้าส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์ทั้งหมด รวมถึงอุตสาหกรรมยา ผลผลิตทางเศรษฐกิจในระยะกลางของสวิตเซอร์แลนด์อาจมีความเสี่ยงลดลงถึง 1% เดิมทีอุตสาหกรรมนี้คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าทองคำแท่งเหล่านี้อาจถูกจำแนกประเภทโดยใช้รหัสศุลกากรที่แตกต่างกันเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ส่งเสริม

เนื่องจากแท่งทองคำน้ำหนัก 1 กิโลกรัมเป็นขนาดที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในตลาดทองคำล่วงหน้าทั่วโลก และรูปแบบการส่งมอบหลักในตลาดซื้อขายล่วงหน้านิวยอร์ก (COMEX) ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกลั่นทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะได้รับผลกระทบอย่างหนักต่อการส่งออกทองคำเนื่องจากนโยบายนี้

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการจากสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 39% นักวิเคราะห์ตลาดเชื่อว่าการกำหนดอัตราภาษีทองคำแท่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทางการค้าระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น

หลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ราคาทองคำก็ปรับตัวสูงขึ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำส่งมอบเดือนธันวาคมของตลาด COMEX พุ่งแตะระดับ 3,534.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงการซื้อขายวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากนั้นราคาก็ลดลงมาอยู่ที่ 3,489.4 ดอลลาร์สหรัฐ

วอลล์สตรีทเจอร์นัลวิเคราะห์ว่า นอกจากข่าวภาษีศุลกากรที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ตลาดยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหลังจากที่มาตรการภาษีรอบใหม่ของทรัมป์มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอยังตอกย้ำความคาดหวังของตลาดที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเร่งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นไปอีก