รีวิวหนังสือ จิตวิทยาสายดาร์ก
หมวดหมู่หนังสือจิตวิทยาพัฒนาตนเอง ไม่มีเล่มไหนที่มีชื่อหนังสือกระตุกจิตกระชากใจได้เท่าเล่มนี้แล้ว "จิตวิทยาสายดาร์ก"ว่าด้วยเคล็ดลับถึงเทคนิคล้างสมองโดย Dr.Hiro นามแฝงเจ้าของช่อง Youtube จากญี่ปุ่นที่จะช่วยให้เราสื่อสารแบบครองใจผู้คนได้มากขึ้น
โลกทุกวันนี้มักใช้จิตวิทยาแบบที่เราไม่มันรู้สึกตัว โดยเฉพาะการล่อหลอกให้เราซื้อสินค้า แม้หนังสือเหมือนจะสอนเราในเทคนิคสีเทา แต่เจตนาของผู้เขียนคืออยากให้เรารู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนอื่นที่ใช้จิตวิทยาล่อลวงคน
แต่แก่นหลักของมันแล้ว คือการปรับตัวเราให้สื่อสารเป็นชนิดที่เรียกได้ว่าจริงใจจนเราซื้อใจเขาได้
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
1.การสื่อสารเป็นเรื่อง"จิตวิทยา" มากกว่าภาษา
คนที่พูดเก่งไม่ใช่คนที่ใช้คำพูดได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่เป็นคนที่สามารถใช้ค่าพูดแล้วสื่อสารถึงใจของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังรู้วิธีสร้างความประทับใจที่เหมาะสม ไม่ว่าใครก็สามารถชักจูงผู้คนได้ เหมือนเล่นมายากลที่แค่รู้ทริคก็ทำตามได้ นักงายเก่ง ๆ หรือแม้แต่นักต้มตุ๋นที่โด่งดัง เทคนิค
ที่พวกเขาใช้ส่วนมากเป็นสิ่งที่แค่ฝึกฝนนิดหน่อยก็ทำได้ไม่ยาก
2."ภาพลักษณ์" สิ่งสำคัญในการชักจูงคนแสดงให้คนอื่นรู้ได้ภายใน 2 วินาที ว่าเราคนนี้คือของจริง เช่น เมื่อถ่ายทำวิดีโอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสุงภาพ การสวมใส่เสื้อกาวน์ โกนหนวด หวีผมเรียบร้อยก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ตั้งแต่แรกเห็น เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเองก็จะเปลี่ยนแปลงจากตัวอย่างเดิม การสวมใส่เสื้อกาวน์จะช่วยให้เราแสดงบุคลิก
ที่เหมือนแพทย์มากขึ้น ยิ่งส่งเสริมให้สิ่งที่พูดน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก
3.“กฏของเมห์ราเบียน” ที่อธิบายไว้ว่าข้อมูลจาก
คําพูดส่งผลต่อความประทับใจแค่ 7% จึงแทบไม่มีความสําคัญข้อมูลจากการได้ยินส่งผล 38% จึงมีความสำคัญปานกลาง,แต่ข้อมูลจากการมองเห็นส่งผลถึง 55% จึงมีความสำคัญมาก ถ้ามัวแต่โฟกัสเนื้อหาที่พูดที่ส่งผลแค่ 7% ก็ยากที่เราจะชักจูงคนได้เก่งขึ้น สิ่งสำคัญกว่าจึงเป็นการพูดด้วยท่าทาอย่างไร และเรานั้นกำลังพูดด้วยภาพลักษณ์แบบไหน
4.คนเราสนใจที่ "ภายนอก" ก่อนเสมอ
คนส่วนใหญ่สนใจฟังเรื่องของกินที่ชอบที่หนุ่มหล่อหรือสาวสวยเล่าแบบขอไปทีมากกว่าเรื่องน่าสนใจที่คนหน้าตาธรรมดาๆตั้งใจเรียบเรียงมาเล่าให้ฟัง คนหน้าตาดีแต่เกิดมักได้เปรียบในการปฏิสัมพันธ์ แต่ก็ใช่ว่าคนหน้าตาธรรมดา ๆ จะสู้เขาไม่ได้
เพียงดูแลตัวเองมากขึ้นก็จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ได้ เช่น แมทเสื้อผ้าให้เป็น, ดูแลผิวพรรณ, จัดทรงผมที่เหมาะสม, ฝึกสร้างกล้ามเนื้อ เราไม่อาจเป็นคนหล่อ/สวยในสายตาทุกคนได้ แต่ถ้าตั้งเป้าว่าจะเป็นคนที่เท่ที่สุดในชีวิตของตัวเอง แล้วทำอย่างต่อ
เนื่อง เราจะมีบุคลิกที่ดูดีขึ้นได้แน่นอน
5.รู้จักเลือก "สถานที่พูด"ให้คนฟังประทับใจ
- คนทํางานเก่งเข้าใจว่า ถ้าเลือกสถานที่ดี
จะช่วยให้ประสิทธิภาพการพูดเพิ่มขึ้นได้
- ร้านฟาสต์ฟู้ดหรือร้านอาหารครอบครัวถูก ๆ “ใช้ไม่ได้” ไม่เหมาะกับการคุยงานมีเสียงรบกวนเยอะ มีคนพลุกพล่านมากไป ร้านกาแฟแฟรนไชส์ราคาทั่วไป “พอใช้ได้” เพราะว่าเป็นร้านที่พบได้ทั่ว ๆ ไป เลยยากที่จะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายได้
- ร้านคาเฟที่สงบ “ธรรมดา” ค่อนข้างเหมาะสมกับการคุยงานนายกาแฟราคาสูงกว่าทั่วไป ควรเป็นร้านที่นักเรียนไม่ค่อยเข้า
- เลาจ์จองโรงแรมหรู “สุดยอด” ช่วยสะท้อนให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเรามองเขาเป็นคนสําคัญขนาดไหน การเจอกันนี้พิเศษเพียงใด
6.เทคนิคที่ทำให้อีกฝ่ายเปิดใจคุยด้วย คือ เริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อที่ทำให้อีกฝ่ายภูมิใจในตัวเอง เพราะว่าสัญชาตญาณภายในจะกระตุ้นให้คนเรารู้สึกดีเมื่อถูกชื่นชม จึงยอมเปิดใจให้อีกฝ่ายมากขึ้น — ถึงแม้การเยินยอที่ไม่จริงใจ อาจฟังดูไม่เข้าท่า แต่สำหรับการพบปะผู้คนใหม่ ๆ ถ้าเราหวงคำชมแล้วล่ะก็ มันก็จะไม่ช่วยให้เราได้เริ่มต้นอะไร ๆ ได้เลย ทั้งนี้ เราไม่ควรชมหรือเยินยอเยิ่นเย้อ เช่น อีกฝ่ายทำอะไรดีๆ เพราะมันทำให้เราดูเยอะเกินไป กลายเป็นว่าเราจะดูไม่จริงใจไป
7.ชมแบบ"ไม่มีมูล"ทวีคูณความรู้สึกดี
การชมนิสัยใจคอที่ไม่อาจรู้ได้จากการมองผิวเผิน แทนการชมรูปลักษณ์ภายนอกที่รู้ได้ทันที จะสร้างความประทับใจมากกว่า เช่น ถ้าอีกฝ่ายใส่เสื้อสวย ๆ แทนที่จะชมว่า “เสื้อสวยนะ!” การชมว่า “เทสดีจัง!” และพูดเสริมว่า “คนเทสดีมักดีไซน์งานเก่งนะ”
ก็จะทำให้การชมมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพูดเชิงยอมรับผู้อื่นบ่อย ๆ ย่อมทำให้อีกฝ่ายชื่นชอบเรามากขึ้น ดั่งค่าทีว่า“การสื่อสารนั้นติดสินกันที่ความชอบ”
8.ปรากฏการณ์พิกมาเลียน (Pygmalion effect) ปรากฏการณ์ความคาดหวังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ผลลัพธ์ดีขึ้น จากการทดลองของโรเบิร์ต โรเซนธาล เขาแบ่งนักเรียนออกเป็น กลุ่ม A และ B โดยให้ข้อมูลหลอกครูว่า "กลุ่ม A มีแต่เด็กเรียนเก่ง" หลังจากครูได้สอนเด็กทั้งสองกลุ่ม ผลปรากฏว่านักเรียนกลุ่ม A มีผลการเรียนที่ดีกว่า B นั่นเพราะครูได้สอนนักเรียนด้วยความคาดหวัง และนักเรียนก็ตระหนักว่ากำลังถูกคาดหวังอยู่
การชื่นชมคนบ่อย ๆ มีแนวโน้มที่คนผู้นั้น จะปฏิบัติตัวแบบที่เราคาดหวัง ทั้งนี้ความคาดหวังต้องอยู่ในระดับที่อีกฝ่ายไม่เสียตัวตนและมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้
9.ไม่อยากเสน่ห์หาย อย่าได้ "ปฏิเสธ" คำชม
บางคนทำตัวไม่ถูกเวลาโดนชม จึงมักเอ๋ยปากปฏิเสธออกไปด้วยท่าทีเขินปนดีใจ แต่การทำแบบนั้นอาจทำให้เราขาดเสน่ห์ ทางที่ดีคือยอมรับ คำชมอย่างตรงไปตรงมา และอาจเสริมด้วยคำพูดติดตลกที่ยังแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง เช่น "ชมกันขนาดนี้ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวสักมื้อเลย!" หรือ "ดีใจจัง ทำเอาเกร็งเลยเนี่ย (หัวเราะ) ขอบคุณมาก" หรือ "ขอบคุณนะ ดีใจที่ถูกชม ชมฉันอีกสักเรื่องได้ไหมอะ (หัวเราะ)"
10.ให้คุยด้วยเรื่องที่อีกฝ่าย "อย่าคุย" ก่อนจะแนะนำเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ถ้าเรา ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า "คุณรู้เรื่องของฉัน เยอะเลยนะ" ก็จะทำให้สนิทกันได้ง่ายขึ้น เช่น "คุณชอบทานอาหารญี่ปุ่นเหรอครับ ผมเองก็ชอบเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ทานบ่อย ผมว่าคุณต้อง รู้เยอะแน่ ๆ ว่าร้านไหนเด็ดบ้าง ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ" เราจึงควรศึกษาก่อนว่าอีกฝ่ายชอบอะไร หาข้อมูลไว้คร่าว ๆ เพื่อให้การคุยราบรื่น อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับเขา
11.ยกตัวอย่าง"และ "เปรียบเทียบ"ได้ความสนใจคนฟังเพียบ
เทคนิคการพูดและเขียนให้มีประสิทธิภาพ คือ “การยกตัวอย่าง”มันช่วยให้เกิดภาพในหัวผู้ฟัง พวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดสื่อสารมากขึ้น, จดจำได้มากขึ้น, และเพลิดเพลินกับการสื่อสารมากขึ้น การยกตัวอย่างจะยิ่งเกิดผลดีเมื่อเราใช้การเปรียบเทียบร่วมด้วย เช่น “หัวหน้าน่ะ ถ้าเปรียบกับภาพยนตร์ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์'ก็คือโวลเดอมอร์นั่นแหละ (เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าหัวหน้าเป็นคนร้ายกาจแค่ไหน!)
12.ยิ่ง "บังคับ" ยิ่ง "ต่อต้าน"
โดยพื้นฐานแล้วคนเรามีความคิดของตัวเอง ถ้าเจอคำพูดที่บอกให้เปลี่ยนตัวเองก็จะปิดใจ เราจึงควรพูดกว้าง ๆ ไม่พูดเชิงตัดสิน เช่น ถ้าโดนบอกว่า “เธอต้องลาออกจากบริษัทนี้ได้แล้ว!” แม้คนที่โดนบอกจะบ่นประจำว่าอยากลาออก แต่ใจเขาจะโน้มเอียงไปทางที่ไม่ลาออก และคิดว่า “อย่างแกจะรู้อะไร!” แต่ถ้าโดนบอกว่า“ถ้าเธอลาออกจากบริษัทนี้อาจดีกว่านะ” เขาจะคิดว่า “อืม คงงั้นมั้ง”และถ้าต้องการทําให้อีกฝ่ายคล้อยตาม เราไม่ควรพูดแบบชี้ชัด เช่น “เธอต้องประสบความสำเร็จแน่” อีกฝ่ายจะคิดว่า“มันไม่ง่ายขนาดนั้น” แต่ถ้าบอกว่า “เธออาจ
ประสบความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้นะ"อีกฝ่ายก็จะเริ่มจินตนาการตามว่า“ถ้าประสบความสำเร็จได้ก็ดีสิ...”
13.พูดแล้ว "หยุด" และ "ถาม"
ถ้าเราเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ผู้ฟังก็จะฟังแค่อย่างเดียว แต่ไม่ได้ใช้สมองคิดตาม เมื่อนั้นเรื่องที่เราเล่าไป ก็จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ส่งไม่ถึงอีกฝ่าย ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการ “หยุด” พูดชั่วขณะ เพราะผู้ฟังจะเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นให้เราตั้ง "คําถาม" ที่ว่าคุณคิดยังไง? เมื่อได้ยินคำถามนี้ผู้ฟังจะกลับมาสนใจผู้พูดอีกครั้ง พวกเขาจะเริ่มใช้สมองคิดตาม — นอกจากนี้การ “หยุด” ชั่วขณะก่อนที่เราจะเริ่ม
พูดเรื่องสำคัญจะช่วยให้ผู้ฟังเตรียมตัวตั้งใจรับฟังมากขึ้นด้วย
14.เคล็ดลับในการพูดให้โดนใจ คือให้พยายามพูดจากข้อมูลสรุปก่อน ไม่ควรพูดหรือสื่อสารด้วยการยัดข้อมูลให้แน่นเอียดในหนึ่งประโยค เพราะผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่ได้มีสมาธิมากพอจะโฟกัสทุก ค่าของเราได้ — แนวทางที่ดีกว่าคือลดทอนข้อมูลให้ น้อยลง ให้เหลือสักประมาณ 1 ใจความสําคัญต่อ 1 ประโยค เช่น ถ้าพรีเซนต์ 1 ชั่วโมง ให้พูด ประเด็นหลัก ใน 5 นาทีแรก และอีก 55 นาที ใช้เพื่ออธิบายเพิ่มเติม
15.ชาวยิวมีคำสอนที่ว่า “คนเรามี 2 หู และ 1 ปาก” กล่าวคือ “คนเราควรฟังมากกว่าพูด 2 เท่า” คนคุยเก่งย่อมเป็นผู้ฟังที่ดี พวกเขาจะตั้งใจแลเพลิดเพลินไปกับเรื่องที่อีกฝ่ายพูด พวกเขาก็เข้าใจดีว่าที่ใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าหมายความว่าตนเลือกที่จะฟังสิ่งที่คนนั้นพูดแทนการทำสิ่งอื่น ๆ ที่ตนเลือกได้มากมาย ความสนุกสนานของการสนทนาจึงขึ้นอยู่กับผู้ฟัง หากผู้ฟังมีความรู้สึกร่วมด้วย ผู้พูดก็จะพูดอย่างสบายใจทําให้การสื่อสารดีขึ้นตามไปด้วย
16.ระหว่างที่ฟังผู้อื่นพูด เราควรส่งสัญญาณโต้ตอบที่ทำให้ผู้พูดเกิดความรู้สึกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นน่าสนใจ
- พยักหน้า: ทำด้วยความแรงที่พอดี (เน้นแรงไว้ก่อนจนเรารู้สึกว่าแรงเกินไป จากนั้นค่อยปรับลดลงมา) โดยท่าครั้งละสองที และเลือกท่าในจังหวะที่เหมาะสม
- ตอบรับ: ด้วยคำว่า “อื้มมม!” ช่วยสะท้อนว่าเราเข้า
ใจชัดเจน - “โห!” สะท้อนว่าเราทั้งทึ่งและสนใจ – “อย่างนี้นี่เอง!" ใช้ตอบรับประโยคยาว ๆ สะท้อนว่าเราเข้าใจ
- ขยับคิ้ว: เรื่องสนุกให้เลิกคิ้วเล็กน้อย, เรื่องตกใจให้เลิกคิ้วสูง, เรื่องเศร้าให้กดคิ้วต่ำลงเพื่อบอกว่าเราอินกับเรื่องที่ฟัง
17.ห้ามพูดว่า"ไม่ใช่แบบนั้น"
โดยทั่วไปแล้วมนุษย์อยากพูดมากกว่าฟัง ถ้าโดนจัดจังหวะก็จะไม่พอใจ ระหว่างที่ฟัง หากข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดไม่ถูกต้อง แล้วเราพูดแทรกทันทีว่า “ไม่ใช่แบบนั้น”นั่นจะถือเป็นการไม่ให้เกียรติและโจมตีศักดิ์ศรีอีกฝ่ายทางที่ดีกว่า คือฟังอีกฝ่ายพูดจนจบแล้วค่อยเริ่มต้นด้วยคำว่า “นั่นสินะ”สะท้อนว่าเราก็เห็นด้วยกับเขา แล้วค่อยเสริมด้วยข้อมูลที่เราคิดว่าถูก
18.ลดความ "ตื่นเต้น"ด้วยสามเทคต่อไปนี้
- ปรับท่าทางให้ผ่อนคลาย: เมื่อรู้สึกตื่นเต้น ให้ทำท่าทางให้ดูตัวใหญ่ขึ้นสักเล็กน้อย แทนการแสดงท่าทางปกติ เพราะท่าทางที่ผ่าเผยจะช่วยให้เรามั่นใจยิ่งขึ้น
- หายใจลึก ๆ: การหายใจถี่จะยิ่งทำให้เราพูดเร็วจนลนลาน แต่การหายใจลึก ๆ จะช่วยให้เราพูดได้ชัดถ้อยชัดคำมากขึ้นเคลื่อนไหวช้าลงและสง่าผ่าเผย: เพื่อให้ท่าทางของเรานั้นดูไม่ลุกลี้ลุกลนเกินไป และมีสติอยู่กับสิ่งตรงหน้ามากขึ้น
19.ปรากฏการณ์จิตวิทยา "กุมใจคน" (A)
- เพซซิง (pacing effect) เพิ่มความสนิทสนมด้วยการปรับความเร็ว จังหวะ น้ำเสียง ความดังให้ใกล้เคียงอีกฝ่าย เช่น ผู้ฟังเป็นคนพูดช้า ส่วนเราพูดเร็ว เราควรลดระดับความเร็วในการพูดลง เพื่อให้ผู้ฟังคุ้นเคยและสบายใจกับเรายิ่งขึ้น
- แอนเคอริง (anchoring effect) คนเรามักเปรียบเทียบคุณค่าของสิ่งหนึ่งกับข้อมูลที่ตนยึดติด เช่น แบรนด์เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าด้วยราคา 2 ล้านบาท แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ลดราคาเหลือ 1.3 ล้านบาท คนส่วนใหญ่จะมองว่าตัวเองมีโอกาสที่จะได้ซื้อรถยนต์ในราคาถูกลงเกือบครึ่ง (เพราะว่ายึดติด
กับราคา 2 ล้านบาท) แม้ความจริงราคา 1.3 ล้านบาท ยังถือว่าแพงกว่ารถหลายคันอยู่มาก
20.ปรากฏการณ์จิตวิทยา"กุมใจคน" (B)
- ดีเดอโรต์ (diderot effect) เมื่อได้ของสิ่งหนึ่งมาแล้ว คนเรามักอยากได้สิ่งของอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น เมื่อกําลังติดสินใจซื้อรถยนต์รุ่นหนึ่ง เราจะคิดต่อเนื่องว่า หากเพิ่มเงินอีกก็จะได้รุ่นท็อป ได้ฟังก์ชั่นที่ช่วยให้รถมีเสน่ห์มากขึ้น
- ความขาดแคลน (sacrity effect) ยิ่งเป็นสิ่งของที่หายากยิ่งมีแนวโน้มที่จองนั้นจะมีมูลค่าสูง ผู้คนก็จะยิ่งให้ความสนใจ
- รีเฟรมมิง (reframing effect) คือการเปลี่ยนมุมมองของคน ซึ่งสามารถใช้ค่าพูดเป็นตัวช่วยจับเคลื่อนได้ เช่น บอกว่า “การดื่มน้ำทำให้คอชุ่มชื้น”
หรือ “ถ้าไม่ดื่มน้ำ 3 วัน คนเราจะตาย”
21.ปรากฏการณ์จิตวิทยาที่"ควรระวัง"
- บูมเมอแรง (boomerang effect) สิ่งที่ทําส่งผลตรงข้ามกับที่ตั้งใจไว้ เช่น พนักงานขายเดินตามติดลูกค้าถามซ้ำๆ ว่าหาอะไรอยู่ ลูกค้าอาจรู้สึกเหมือนถูกเร่งให้รีบชื้อ กลายเป็นอึดอัดใจและเดินหนีไป
- รีเฟรมมิง (reframing effect) คือการเปลี่ยนมุมมองของคน ซึ่งสามารถใช้ค่าพูดเป็นตัวช่วยจับเคลื่อนได้ เช่น บอกว่า “การดื่มน้ำทำให้คอชุ่มชื้น”หรือ “ถ้าไม่ดื่มน้ำ 3 วัน คนเราจะตาย”
21.ปรากฏการณ์จิตวิทยาที่"ควรระวัง"
- บูมเมอแรง (boomerang effect) สิ่งที่ทําส่งผลตรงข้ามกับที่ตั้งใจไว้ เช่น พนักงานขายเดินตามติดลูกค้าถามซ้ำๆ ว่าหาอะไรอยู่ ลูกค้าอาจรู้สึกเหมือนถูกเร่งให้รีบชื้อ กลายเป็นอึดอัดใจและเดินหนีไป
- อันเดอร์ไมนิง (undermining effect) คือ การให้แรงจูงใจภายนอก อาจส่งผลให้แรงจูงใจภายในลดลง เช่น เด็กคนหนึ่งเล่นฟุตบอลด้วยแพชชั่น แต่เมื่อเขาเล่นได้ดีจนได้รับรางวัลเป็นเงินบ่อย ๆ ความสนใจของเขาก็อาจไปผูกกับเงิน ถ้าเงินน้อยก็ไม่อยากเล่น เล่นแล้วแพ้ ไม่ได้รางวัล ก็หมดไฟ
- หลักการตอบแทนซึ่งกันและกัน (norm of recipation) บางครั้งก็ส่งผลลบ เช่น เลี้ยงข้าวเพื่อนแล้วคิดว่าครั้งหน้าเพื่อนจะเลี้ยงคืน แต่เพื่อนกลับจ๋าไปแล้วว่าการเจอเราเท่ากับกินข้าวฟรี ถ้าเราไม่เลี้ยงข้าว เพื่อนก็อาจไม่อยากมาเจอ
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
เขมรพังเรื่อยๆ ไทยปิดด่าน ทำเอาชาวเขมรโมโห เผานาทิ้ง เนื่องจากขายข้าวไม่ได้
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เผยคำทำนาย "บาบา วานก้า" ปลายปี 2025 มนุษย์ต่างดาวอาจโผล่กลางงานฟุตบอลโลก
WOOF แก่แบบมีคุณภาพ เทรนด์การเงินใหม่ของคนวัยเกษียณ พึ่งตัวเอง มีเงินใช้ ไม่เป็นภาระลูกหลาน
แฮ็กสมอง อารมณ์ดีใน 10 วินาที เปลี่ยนอารมณ์ลบให้ดีขึ้นภายใน 10 วินาที
นักวิเคราะห์ นักเทรด และนักคณิตศาสตร์ประกัน

