มีเวลาให้คนรัก โดย ว.วชิรเมธี
เราจะเห็นคุณค่าของคนที่เรารักมากที่สุดเมื่อเขาหลุดลอยจากเราไปแล้ว ทุกคนต่างก็มีบุคคลอันเป็นที่รัก มีบุคคลอันเป็นที่ชัง
สำหรับบุคคลอันเป็นที่รัก เราต้องมีเวลาให้เขา แต่บุคคลอันเป็นที่ชังอย่าไปให้เวลาเขามาก บางคนทำผิด ไม่ค่อยมีเวลาให้พ่อแม่ ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่มีเวลาให้ศัตรูมากเป็นพิเศษ
เชื่อไหมว่า มนุษย์บางคนให้เวลาแก่บุคคลอันเป็นที่ชังมากเป็นพิเศษ สนใจทุกก้าวของเขา รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ตัวเองชัง ใส่ใจแต่ปมด้อยของคนที่ตัวเองชังแล้วเก็บมาเล่าหรือนินทา
ครั้งหนึ่ง มีพระรูปหนึ่ง ท่านชอบมาคุยกับผู้เขียนหลังเวลาบิณฑบาต แล้วท่านจะรู้หมดว่า ในวัดนั้นใครเลวตรงไหน ใครตื่นสาย ใครบิณฑบาตได้น้อย ใครถูกหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียกไปดุ ใครไม่ได้รับกิจนิมนต์ ใครถูกโยมต่อต้าน ท่านจะรู้ทุกอย่างแล้วก็มาเล่าให้ผู้เขียนฟัง
ผู้เขียนเลยถามว่า “ขอโทษนะครับ ในวัดนี้มีพระดีๆบ้างไหม พระรูปไหนที่เป็นคนเก่งคนดี ท่านกลับไม่สนใจพระรูปไหนทำผิดทำพลาดท่านรู้หมด” ผู้เขียนก็เลยเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง ซึ่งเป็นเรื่องของท่านอาจารย์พุทธทาส
มีพระฝรั่งรูปหนึ่งไปอยู่กับท่านพุทธทาส เป็นคนชอบจับผิด จับผิดพระไทยว่า กราบไม่สวยบ้าง นอนตื่นสายบ้าง ขี้เกียจบ้าง ไปเล่าให้ท่านพุทธทาสฟังทุกวันๆวันหนึ่ง ท่านพุทธทาสจึงคุยกับพระฝรั่งรูปนี้ว่า “คุณนี่ก็แปลกเนอะ อยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบกินของเน่า”ฝรั่งยังไม่รู้ “หลวงพ่อครับ ของเน่าในความหมายของหลวงพ่อคืออะไรครับ”
หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “ในวัดนี้นะ มีทั้งพระที่ดีและพระที่ไม่ดี แต่ฉันเชื่อว่าพระที่ดีย่อมมีมากกว่า แต่ทำไมเธอมองไม่เห็นพระเหล่านั้น ทำไมเธอจึงมองเห็นแต่ความไม่ดี รู้ไหม การที่เธอเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของคนอื่น จิตใจเธอเป็นสุขหรือเป็นทุกข์”
“ทุกข์ครับ”
“ร้อนหรือเย็น”
“ร้อนครับ”
“นี่แหละเธอกำลังกินของเน่า”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระรูปนี้สะเทือนใจมาก เลิกกิน
ของเน่าเลย เห็นไหม
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายอย่าไปเสียเวลาแก่คนที่ชังเลย ยิ่งเราใส่ใจคนที่เราฟังมากๆ จิตใจของเราจะเต็มไปด้วยความทุกข์ เขาเลวอย่างไร เขาชั่วอย่างไรเรารู้หมด เราไปเสียเวลากับคนพรรค์นี้เท่ากับว่า เรากำลังกินของเน่าอยู่
ฉะนั้น ใครคนไหนชอบกินของเน่า ชอบจับผิดคนอื่นชอบมองหาข้อเสียของคนอื่น แล้วเสียเวลามากมายไปกับเรื่องเสียหายของคนอื่นอย่างนี้ แสดงว่าใครคนนั้นกำลังชอบกินของเน่าเป็นอาหาร ซึ่งคนไทยจำนวนมากมักจะเป็นแบบนี้
ผู้เขียนเคยถามลูกศิษย์หลายคนว่า เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านหน้าไหนก่อน คำตอบคือ หน้าบันเทิง ดูดาราคนไหนจะสลัดรักใคร นี่ชอบกินของเน่าอย่างนี้ แล้วก็เอามาเล่ากัน ความรู้เหล่านี้รู้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะฉะนั้นอย่าไปให้เวลาแก่คนที่ชัง เอาเวลาที่มีแสนจะสั้นในชีวิตนี้มาให้แก่คนที่รักดีกว่า
เมื่อก่อน ในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ตอนอยู่กรุงเทพฯ ผู้เขียนจะกลับเชียงรายทุกเดือน แม้ผู้เขียนจะเป็นพระ ผู้เขียนก็ปฏิบัติมาหลายปีแล้ว คือ การกลับไปหาโยมพ่อ เวลาโยมพ่ออยู่กับผู้เขียน โยมพ่อจะกินข้าวได้เยอะเป็นพิเศษ มีครั้งหนึ่งผู้เขียนพาโยมพ่อไปกินข้าวที่พัทยาสองริมน้ำตกที่จังหวัดเชียงราย คือน้ำตกแห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์สวยมาก ชาวเชียงรายเรียกว่า พัทยาสอง ผู้เขียนพาโยมพ่อไปกินส้มตำ อร่อยมาก วันนั้นโยมพ่อกินหมดไปสามจาน ปกติแล้วโยมพ่อกับโยมพี่กินอะไรไม่ค่อยได้ เจ็บออดๆ แอดๆ ป่วยนั่นป่วยนี่ พอผู้เขียนเจอโยมพ่อจึงชวนไปเที่ยว พ่อตกลงทันทีทั้งที่ยังไม่รู้ว่าไปไหน แต่รู้ว่าถ้าไปกับผู้เขียนคือได้ไปเที่ยวแน่ๆ โยมพ่อมีชีวิตชีวามากเวลาอยู่กับผู้เขียน กินข้าวได้มาก มีความสุขมาก ผู้เขียนกับโยมพ่อเคยเดินไปเที่ยวน้ำตกกัน สามกิโลเมตร สองคนพ่อลูกเดินด้วยกัน เดินสบายๆ พี่สาวสี่คนเดินตามหลังขอพักกลางทางทุกคน ทำไมพ่อทำได้ เพราะเวลาได้อยู่กับพระลูกชายแล้วท่านมีกำลังใจ
ทุกวันนี้ ผู้เขียนแม้จะมีงานมากแค่ไหนแต่ก็จะแบ่งเวลาให้พ่อเสมอ ขอให้ผู้เขียนได้อยู่กับพ่อ เพราะเวลา
นอกจากนั้น ผู้เขียนให้เวลาแก่คนทั้งโลก แต่ผู้เขียนจะไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลย ถ้าไม่ได้มีเวลาให้พ่อ
ฉะนั้น เราทั้งหลายที่มีเวลาให้งานวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง มีเวลาให้เพื่อน มีเวลาท่องอินเทอร์เน็ต มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ มีเวลาโทรศัพท์ แล้วเคยมีเวลาให้บุคคลอันเป็นที่รักไหม เคยนั่งกินข้าวกับพ่อกับแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยซื้อของให้คุณพ่อคุณแม่ครั้งสุดท้ายตอนไหน เคยพาลูกไปดูหนังฟังเพลงด้วยกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยไปกินข้าวสองคนกับภรรยาหรือสามีในวันครบรอบวันแต่งงานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เหล่านี้เคยทำไหม
บุคคลอันเป็นที่รักเราต้องให้เวลา ไม่มีประโยชน์ที่จะไปให้เวลาตอนที่เขาเหล่านั้นล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วนิ่ง
ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้รับหนังสืองานศพเล่มหนึ่ง ลูกๆเขียนถึงคุณพ่อเสียหยดย้อย ผู้เขียนอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าคนที่ตายไปแล้วได้อ่านว่าคนที่อยู่เขียนถึงขนาดนี้ สงสัยไม่ตายแล้ว คือเขียนดีมาก ลูกบางคนตอนพ่อยังอยู่ไม่ปรากฏว่าแต่งกลอนเป็นแต่พอพ่อล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ลูกคนนี้แต่งกลอนให้พ่อ ทำได้อย่างไร ปกติเป็นคนกระโดกกระเดก แข็งๆ ห้าวๆ เป็นๆโก๊ะด้วย ขี้ลืมด้วย แต่พอพ่อสิ้นใจไป ลูกชายคนนี้องค์กวีลงประทับ เขียนกลอนให้พ่อ แล้วพิมพ์หนังสือที่ระลึกงานศพเสียงามหยดย้อย
ผู้เขียนเกิดคำถามว่า ทำไมตอนที่พ่อยังอยู่ ลูกๆหลานๆ ไม่พิมพ์หนังสือดีๆ ในงานทำบุญวันเกิดให้แก่พ่อล่ะมาพิมพ์ตอนงานศพ พ่ออ่านไม่ได้แล้ว น่าเสียดายไหม น่าเสียดายมาก น่าจะทำอะไรให้พ่อได้รู้ได้เห็น ว่าตอนที่พ่อยังอยู่ พวกลูกๆ มีความสุขกันแค่ไหนที่เราได้ใช้เวลาที่เป็นโมงยามที่งดงามร่วมกันทั้งครอบครัว
ตอนนี้ผู้เขียนก็ให้ลูกศิษย์ถ่ายวิดีโอเกี่ยวกับโยมพ่อทุกอย่างเก็บไว้ ถ่ายทั้งโยมพ่อ ถ่ายทั้งหมาตัวโปรดของโยมพ่อ ถ่ายทั้งผู้เขียน ให้ทั้งคนทั้งหมาอยู่ในวิดีโอม้วนเดียวกัน เพราะวันเวลาแห่งความสุขอย่างนี้ถ้าผ่านเลยไปแล้ว มันหาอีกไม่ได้ ตอนที่โยมแม่ยังอยู่ ผู้เขียนเคยคิดว่าอยากจะบันทึกเสียงโยมแม่ไว้ เพราะโยมแม่ชอบร้องเพลง โยมแม่ชอบเล่าความหลังมากและก็ชอบร้องเพลงเก่าสมัยจอมพล ป. ผู้เขียนคิดว่า น่าจะบันทึกเสียงแม่ไว้ แต่ตอนนั้นมันยังไม่เข้าสู่ยุคดิจิตอล ยังไม่มีกล้องวิดีโอ ไม่มีกล้องบันทึกเสียง โยมแม่ก็มาเสียไปก่อน
ทุกวันนี้ยังมานั่งนึกเสียดายว่า ถ้าได้บันทึกเสียงแม่เอาไว้ ตอนนี้คิดถึงแม่ก็เปิดดู แม่คงจะทำอะไรดีๆ ให้เราได้ดูและย้อนกลับไประลึกถึงความทรงจำแสนงามได้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ผู้เขียนทำได้อย่างดีที่สุด ก็คือเก็บรูปของโยมแม่ไม่กี่อัลบั้ม และผ้าถุงของโยมแม่ไม่กี่ผืนที่เราซื้อให้ เป็นสิ่งของแทนใจโยมแม่
พอมาถึงโยมพ่อ โยมพ่อยังอยู่ ตอนนี้ผู้เขียนทำทันทีตามที่ตั้งใจไว้ พาท่านไปเที่ยวในขณะที่ท่านยังเดินไหว สุขภาพยังดี ให้ท่านได้อยู่ท่ามกลางลูกหลาน ในบั้นปลาย ขอให้ท่านได้มีความสุข ถ้าแม้งานผู้เขียนยุ่งแค่ไหนก็ตาม ผู้เขียนจะต้องล็อกเวลาเอาไว้ว่า เวลานี้เป็นเวลาของพ่อ เราทั้งหลายเคยแบ่งเวลาให้พ่อให้แม่ไหม เคยแบ่งเวลาให้สามีภรรยาไหม เคยแบ่งเวลาให้ลูกไหม เคยแบ่งเวลาให้เพื่อนเรารักไหม ปู่ย่าตายายเราเคยแบ่งเวลาให้ไหม
ผู้เขียนแบ่งเวลาให้แม้กระทั่งหมาที่ผู้เขียนรัก ฉะนั้นผู้เขียนพูดไว้เลยนะว่า Love Me Love My Dog แล้วญาติโยมหลายคนก็ทำตาม ครั้งหนึ่ง มีโยมคนหนึ่งกลับจากอเมริกาไปกราบผู้เขียนที่วัด ซื้อเสื้อให้หมาของผู้เขียนของดีๆ แพงๆทั้งนั้นนะ ผู้เขียนถือหลักว่า ถ้าเรารักเขา เราต้องรับผิดชอบเขา ถ้าเราเลี้ยงหมา อย่าเลี้ยงเฉพาะในวันเวลาที่เขาให้ความชื่นใจแก่เราได้เท่านั้น เวลาเขาป่วยต้องดูแลด้วย
เวลาที่หมาของผู้เขียนป่วย ผู้เขียนให้เขาได้นอน โรงพยาบาลที่ดีที่สุด เวลาเขาตายผู้เขียนจัดพิธีฝังให้อย่าง สมเกียรติที่สุด หลังจากเขาตายแล้ว ผู้เขียนปั้นรูปเขาไว้ด้วย ที่บ้านเกิด มีรูปโยมแม่ของผู้เขียนนั่งเอามือลูบหัวหมาด้วย
ฉะนั้น ใครที่เรารัก ใครที่เราเคารพ ใครที่เราชื่นชม ใครที่เราเชื่อมโยงในฐานะเป็นเครือญาติ ตระกูลวงศา กัลยาณมิตร อย่าลืมให้เวลาแก่คนเหล่านี้ด้วย ถ้าเราให้เวลาแก่คนทั้งโลกแต่ไม่ได้ให้เวลาแก่คนใกล้ตัว ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก เพราะวันหนึ่งถ้าเขา พลัดพรากจากไปเราต้องมานั่งเสียใจ ทำหนังสืองานศพ สวยแค่ไหน คนที่ตายก็ไม่ได้อ่าน
อ้างอิง : ก้าวไปให้ถึงรักแท้ (LOVE) ว.วชิรเมธี











