“Pavel Durov” ผู้ก่อตั้ง Telegram ประกาศยกทรัพย์สินกว่า 4.6 แสนล้านบาทให้ลูกๆ กว่า 100 คนทั่วโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายพาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) มหาเศรษฐีหนุ่มชาวรัสเซีย วัย 39 ปี และผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยม “Telegram” ได้เปิดเผยผ่านการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Le Point ของฝรั่งเศส ว่า ตนได้ตัดสินใจยกมรดกส่วนตัวมูลค่าประมาณ 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 460,000 ล้านบาท ให้แก่บุตรจำนวนกว่า 100 คนที่เกิดจากการบริจาคอสุจิของตนในช่วงกว่า 15 ปีที่ผ่านมา
“ลูกของฉันทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน”
นายดูรอฟกล่าวว่า เขาได้ริเริ่มบริจาคอสุจิให้กับคลินิกการเจริญพันธุ์หลายแห่งใน 12 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่เพื่อนสนิทของเขาประสบปัญหามีบุตรยาก และร้องขอให้เขาช่วยเหลือ กระบวนการนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อราว 15 ปีก่อน จนมีบุตรที่เกิดจากพันธุกรรมของเขากระจายอยู่ทั่วโลกจำนวนมากกว่า 100 คน
เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต นายดูรอฟจึงได้จัดทำพินัยกรรม โดยระบุว่า บุตรทุกคนของเขาจะได้รับทรัพย์สินส่วนแบ่งเท่าเทียมกันโดยไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม เขากำหนดเงื่อนไขว่า บุตรจะสามารถเข้าถึงมรดกดังกล่าวได้ต่อเมื่ออายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ สร้างตนเองขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเอง โดยไม่พึ่งพาทรัพย์สมบัติ
เผชิญคดีความในยุโรปหลังถูกกล่าวหาไม่ยับยั้งการใช้ Telegram ในทางที่ผิด
นอกจากประเด็นด้านมรดกแล้ว นายดูรอฟยังถูกตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาในประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) โดยระบุว่า Telegram ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเขา ไม่ได้ดำเนินมาตรการอย่างเพียงพอในการควบคุมการใช้งานในทางที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติด การเผยแพร่เนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หรือการกระทำผิดทางไซเบอร์รูปแบบอื่นๆ
นายดูรอฟได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่า “ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพียงเพราะอาชญากรเลือกใช้บริการของเรา ไม่ได้หมายความว่าผู้ให้บริการนั้นมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดด้วย” เขายังยืนยันว่า Telegram ยังคงยึดมั่นในหลักเสรีภาพของการสื่อสาร และจะไม่ร่วมมือกับการสอดแนมจากหน่วยงานภาครัฐโดยไม่มีเหตุอันควร
ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง
การตัดสินใจของนายดูรอฟในการเปิดเผยจำนวนบุตรทั้งหมด พร้อมประกาศมอบทรัพย์สินจำนวนมหาศาลอย่างเท่าเทียม ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญที่สะท้อนถึงทัศนคติด้านมนุษยธรรมและความเสมอภาคในครอบครัว ขณะเดียวกัน กรณีคดีความในยุโรปก็ยังคงเป็นที่ติดตามจากหลายฝ่ายว่า Telegram จะสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างไร ท่ามกลางแรงกดดันจากภาครัฐที่ต้องการควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันในยุคดิจิทัลอย่างเข้มข้น






