รู้หรือไม่ ? เพราะปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้ "สยาม" เรานั้นไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติอื่นๆ ?
ในช่วงศตวรรษที่ 19 คลื่นแห่งลัทธิล่าอาณานิคมได้แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ราวกับพายุที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย—ต่างทยอยตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาติตะวันตกทั้งสิ้น อังกฤษและฝรั่งเศสแบ่งเค้กแห่งดินแดนกันอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับว่าไม่มีผู้ใดต่อต้านได้... ทว่าท่ามกลางภูมิภาคที่ต่างก็กลายเป็นอาณานิคม กลับมีเพียงประเทศเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดรักษาเอกราชของตนไว้ได้อย่างน่าทึ่ง นั่นคือ “สยาม” หรือประเทศไทยในปัจจุบัน
ถ้าเป็นคนนอก หลายๆคนอาจเข้าใจว่าเรารอดพ้นมาได้เพราะมีขุนพลเก่งกล้าหรือกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังของการรักษาเอกราชนั้นลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่คิด มันไม่ใช่แค่เรื่องของกำลังทหาร หากแต่คือการวางหมากทางการเมือง การทูตอันแยบยล และการรู้จักเล่นเกมบนกระดานโลกได้อย่างชาญฉลาด
ในเวลานั้น สยามถูกขนาบอยู่ระหว่างสองมหาอำนาจที่กำลังขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง—ทางตะวันตกคืออังกฤษ ผู้ยึดพม่าและมาเลเซียไว้แล้ว ส่วนทางตะวันออกคือฝรั่งเศส ซึ่งมีอำนาจเหนือดินแดนอินโดจีน ได้แก่ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หากสยามเลือกที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรง ย่อมไม่อาจรอดพ้นจากชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ผู้นำของสยามในเวลานั้นกลับมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต พวกเขาเลือกวางตนอย่างชาญฉลาดในฐานะ “รัฐกันชน” หรือ Buffer State ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเบาะนุ่ม ๆ ที่กั้นไม่ให้สองมหาอำนาจใหญ่กระทบกันตรง ๆ อังกฤษกับฝรั่งเศสต่างก็ไม่ต้องการให้สยามตกเป็นของอีกฝ่าย เพราะอาจนำไปสู่การปะทะโดยตรงระหว่างกัน ดังนั้น การคงอยู่ของสยามในฐานะรัฐที่เป็นกลางจึงกลายเป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐกันชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรักษาเอกราชไว้ได้ หากปราศจากผู้นำที่มองการณ์ไกล ในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งยวดในการนำพาสยามผ่านช่วงเวลาแห่งความเสี่ยง ทั้งสองพระองค์ทรงเข้าใจว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป และหากสยามยังยืนอยู่บนความเชื่อเดิม ๆ โดยไม่ปรับตัว เราก็จะถูกกลืนหายไปในกระแสประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับผู้อื่น
พระมหากษัตริย์ไทยในเวลานั้นจึงทรงเลือกใช้ “การทูต” เป็นอาวุธสำคัญ พระองค์ทรงส่งคณะทูตออกไปเจรจากับนานาชาติ ทำสนธิสัญญาแม้จะต้องยอมเสียเปรียบบางประการในระยะสั้น เช่น การยอมเสียดินแดนบางส่วน หรือการให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ชาวต่างชาติ แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการแลกเพื่อรักษา “ตัวตนของชาติ” เอาไว้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ภายในประเทศก็เกิดกระบวนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านกฎหมาย การบริหาร การคลัง ระบบราชการ การศึกษา และการทหาร สยามต้องการแสดงให้โลกเห็นว่าเราไม่ใช่รัฐล้าหลัง หากแต่เป็นรัฐที่กำลังพัฒนา เป็นประเทศที่มี “ศักยภาพในการเจรจา” เทียบเท่ากับโลกตะวันตก ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาอำนาจต่างก็ให้ความสำคัญไม่น้อย
การรักษาเอกราชของไทยจึงไม่ใช่ผลจากการยืนหยัดสู้รบด้วยดาบและปืน แต่เป็นผลจากการมองเห็น “เกมระหว่างประเทศ” อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเลือกเดินหมากอย่างมีศิลปะ รู้ว่าเมื่อใดควรถอย เมื่อใดควรยอม และเมื่อใดควรยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของชาติ
เมื่อมองย้อนกลับไป บทเรียนจากกลยุทธ์ “รัฐกันชน” ของสยามในวันวาน ชวนให้เราตระหนักว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความขัดแย้ง การรักษาสมดุลระหว่างอำนาจ การรู้จักเลือกจังหวะ และการเจรจาอย่างมีไหวพริบ คือกุญแจสำคัญของการอยู่รอด
และนี่เองคือสิ่งที่ทำให้ “สยาม” กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม—ความภาคภูมิใจที่ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากสติปัญญา วิสัยทัศน์ และหัวใจที่กล้าหาญของผู้คนในยุคนั้น ซึ่งทำให้สยาม หรือ ไทยเรานั้นในปัจจุบัน ยังไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ( สมัย อยุธยา ที่ตกเป็นเมืองขึ้นของเผ่าพันธุ์ชนชาติในเมียนมาร์ปัจจุบัน ชาวหงสาวดี หรือชาวอังวะ นั้นไม่นับ เพราะถือว่าในสมัยนั้น อยุธยา ยังเป็นแค่ อาณาจักร ยังไม่ได้เกิดการรวมตัวกันด้วยสำนึก "ความเป็นชาติ" เหมือนในยุครัตนโกสินทร์ครับ ที่โลกเราเริ่มมีการพัฒนามีการก่อเกิด "รัฐชาติ" ขึ้นมา ไม่ได้เป็นแค่การรวมตัวกันหลวมๆ ของอาณาจักรเล็ก-ใหญ่ เหมือนในอดีต





















