อิสราเอลและอิหร่านเกลียดอะไรกันสุดยอดความขัดแย้งไม่มีสิ้นสุด!
อิสราเอลและอิหร่านเกลียดอะไรกันสุดยอดความขัดแย้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นประเด็นความขัดแย้งที่ซับซ้อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งไม่ได้เริ่มต้นด้วยความเกลียดชัง แต่พัฒนามาจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และการแย่งชิงอำนาจ
1. จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ มิตรภาพที่ไม่คาดคิด
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อิหร่านในฐานะอาณาจักรเปอร์เซีย เป็นประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาติตะวันตกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่คนอิหร่านและกษัตริย์ผู้ปกครอง ต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติตะวันตกได้แทรกแซงการเมืองภายในของอิหร่าน โดยสนับสนุนกษัตริย์ที่นิยมตะวันตกขึ้นมาแทน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกดีขึ้นอย่างมากในปี 1948 เมื่ออิสราเอลก่อตั้งขึ้น ชาติมุสลิมส่วนใหญ่ในตะวันออกกลางไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล โดยมองว่าดินแดนดังกล่าวควรเป็นของปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม อิหร่านในยุคนั้นซึ่งมีผู้ปกครองที่นิยมตะวันตก ได้ให้การรับรองอิสราเอลในฐานะประเทศ ทำให้ความสัมพันธ์ในช่วงแรกของทั้งสองประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีถึงขั้นมีการสร้างท่อส่งน้ำมันระหว่างกัน เพื่อให้อิหร่านสามารถส่งน้ำมันไปยังยุโรปผ่านอิสราเอลได้ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังร่วมมือกันในหลายด้าน รวมถึงการซ้อมรบ และมองอิรักเป็นภัยคุกคามร่วมกัน
2. จุดเปลี่ยน การปฏิวัติอิสลามและความเป็นศัตรูกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน การปฏิรูปของกษัตริย์ที่นำเอาความเป็นตะวันตกเข้ามามากเกินไป ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมไม่พอใจและนำไปสู่การประท้วงภายใต้การนำของอิหม่ามโคไมนี ในที่สุด กษัตริย์ถูกขับไล่ออกจากประเทศ และอิหร่านเปลี่ยนการปกครองเป็นรัฐอิสลามที่มีอิหม่ามโคไมนีเป็นผู้นำ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลให้ท่าทีของอิหร่านต่ออิสราเอลเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอิหม่ามโคไมนีไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอลแม้จะไม่ชอบอิสราเอล แต่ในบางสถานการณ์ ทั้งสองประเทศก็เคยร่วมมือกันภายใต้หลักการ "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" เช่น ในช่วงที่อิรักแผ่ขยายอำนาจและนำไปสู่สงครามอ่าวเปอร์เซีย อิหร่านและอิสราเอลต่างก็อยู่ฝ่ายเดียวกันเพื่อโจมตีอิรัก อย่างไรก็ตาม หลังอิรักอ่อนแอลง อิหร่านและอิสราเอลต่างก็กลายเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคและเริ่มเป็นคู่แข่งกันอย่างชัดเจน อิสราเอลเริ่มกล่าวหาว่าอิหร่านให้เงินสนับสนุนกลุ่มที่อิสราเอลมองว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่อิหร่านก็ไม่พอใจที่อิสราเอลมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเมื่ออิสราเอลแสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีการทำสงครามตัวแทน โดยสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามในความขัดแย้งอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ในเลบานอน เยเมน และซีเรีย
3. ความขัดแย้งในปัจจุบัน ประเด็นนิวเคลียร์และสถานการณ์ที่ตึงเครียด
ประเด็นหลักที่ทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันคือ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิหร่านอ้างว่าการพัฒนานิวเคลียร์มีวัตถุประสงค์เพื่อสันติภาพ แต่ชาติตะวันตกไม่เชื่อและได้ดำเนินการคว่ำบาตรอิหร่าน ในปี 2015 อิหร่านได้ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์กับ 6 ชาติมหาอำนาจ โดยตกลงที่จะลดการถือครองยูเรเนียมที่สามารถนำไปพัฒนาอาวุธได้ และอนุญาตให้มีการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ แลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรอย่างไรก็ตาม ในปี 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้และกลับมาคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง การกระทำนี้ทำให้อิหร่านไม่มีข้อจำกัดในการสะสมเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และนานาชาติไม่สามารถตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางยิ่งตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2024 ที่มีการเพิ่มงบประมาณในการพัฒนานิวเคลียร์ในหลายประเทศ รวมถึงอิหร่าน เหตุการณ์ล่าสุดที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย ได้นำไปสู่การที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลโดยตรงเพื่อเป็นการตอบโต้ อิสราเอลมีความเห็นว่าการเจรจากับอิหร่านจะไม่ได้ผล และไม่ต้องการให้อิหร่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ จึงได้ตัดสินใจโจมตีแหล่งพัฒนานิวเคลียร์ในอิหร่าน รวมถึงส่งหน่วยข่าวกรองไปสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านก็ได้ตอบโต้กลับไปเช่นกัน
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่ได้เป็นเพียงความแตกต่างทางศาสนา แต่เป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจ การสะสมอาวุธ และความไม่ไว้วางใจที่สะสมมาอย่างยาวนาน สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงตึงเครียดและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบลงอย่างไร ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลางและสันติภาพโลก















