"คดีปราบผีที่โหดที่สุดของเยอรมัน" จากบันทึกของศิษยาภิบาล
เรื่องราวสุดหลอนนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ของเยอรมนีในศตวรรษที่ 19 โดยบาทหลวงโยฮัน คริสตอฟ บุมฮาร์ท (Johann Christoph Blumhardt) ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติเมื่อ ดิสซัส (Gottliebin Dittus) หญิงสาวผู้ที่ศรัทธาต้องทนทุกข์ทรมานจากปรากฏการณ์ประหลาดที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของปีศาจเข้าสิงร่าง เรื่องราวนี้ถูกบันทึกไว้ในรายงานของบุมฮาร์ท ซึ่งในตอนแรกเขาไม่อยากที่จะเปิดเผย แต่ถูกหัวหน้าทางศาสนาบังคับให้เขียนเรื่องราวทั้งหมด
จุดเริ่มต้นของความวิปลาส
ครอบครัวดิสซัส ซึ่งประกอบด้วยพี่น้อง 5 คน ย้ายมาอยู่ชั้นล่างของอาคารในหมู่บ้านมอร์แกนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 พวกเขาเป็นครอบครัวที่ยากจน และแกทบินน์เป็นน้องคนสุดท้องที่มีปัญหาด้านสุขภาพมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเธอจะเป็นคนขยันและมีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า แต่ชีวิตของเธอกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
คืนแรกที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ ขณะที่พี่ชายของ แกทบินน์ กำลังสวดภาวนาว่า "จงเสด็จมาเถิด ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดเป็นแขกของพวกเรา" แกทบินน์ก็เริ่มแสดงอาการประหลาด เธอตัวแข็งทื่อ ตาเหลือก และล้มลง พร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพลงลอยไร้ทิศทาง ซึ่งในตอนแรกดูเหมือนอาการชัก แต่หลังจากนั้นเสียงเคาะปริศนาเริ่มดังขึ้นในบ้าน และขยายจากผนังไปทั่วทุกตารางนิ้ว แม้แต่เทียนบนโต๊ะก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เงาที่เกิดจากแสงเทียนดูคล้ายรูปร่างบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้เอง และพื้นบ้านก็เริ่มสั่นสะเทือน แกทบินน์ฟื้นขึ้นมาและกล่าวว่า "มีบางสิ่งอยู่ที่นี่ และสิ่งนั้นไม่ต้องการให้พวกเราสวดมนต์"
ความทุกข์ทรมานที่ทวีความรุนแรง
อาการของแกทบินน์ยังคงดำเนินต่อไป เธอมีไข้สลับหนาวสั่น และบางครั้งก็นอนนิ่งเป็นชั่วโมง นอกจากนี้ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติยังคงเกิดขึ้นในบ้าน เมื่อพวกเขาเริ่มสวดมนต์ อุณหภูมิในห้องจะลดลงอย่างรวดเร็ว เสียงประหลาดดังจากผนังเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน แม้จะพยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ เสียงเคาะรุนแรงขึ้นจนบ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน และแกทบินน์ก็เริ่มส่งเสียงครวญคราง สำรอกของเหลวเป็นฟองออกมาจากปาก และบางครั้งก็นอนไขว้มือบนหน้าอกราวกับถูกบังคับ บุมฮาร์ทสังเกตว่าเมื่อเขามาเยี่ยม อาการของเธอกลับแย่ลง เธอจะดื้อรั้นและเอาแต่ใจมากขึ้น
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1841 แกทบินน์ยอมรับความช่วยเหลือจากบุมฮาร์ท แต่ไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเดือนเมษายน 1842 พี่น้องของแกทบินน์จึงมาขอคำปรึกษาและเล่าเรื่องทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่แกทบินน์เห็น "ผู้หญิงที่ไม่รู้จัก" เดินอยู่ในบ้าน และผู้หญิงคนนั้นอุ้ม "เด็กที่ตายไปแล้ว" บุมฮาร์ทตกใจมากและเตือนไม่ให้แกทบินน์พยายามติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณเหล่านั้น
การเผชิญหน้ากับปีศาจ
เพื่อนบ้านที่มาค้างคืนดูแลแกทบินน์ได้พบกระดาษที่มีเขม่าควันปกคลุมและเหรียญที่ถูกห่อด้วยกระดาษใต้เตียง เชื่อกันว่าอาจเป็นบทสวดหรือพิธีกรรมบางอย่าง หลังจากนั้นก็พบกระดูกเล็กๆ และผงปริศนาถูกฝังอยู่ใต้พื้นบ้าน ซึ่งเมื่อตรวจสอบโดยผู้ดูแลสุสานในตอนแรกเชื่อว่าเป็นกระดูกของเด็ก แต่ภายหลังแพทย์ยืนยันว่าเป็นกระดูกนก บุมฮาร์ทเชื่อว่าอาจเคยมีการทำพิธีไสยศาสตร์ในบริเวณนั้น ทำให้วิญญาณถูกกักขัง
แม้จะย้ายแกทบินน์ไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เหตุการณ์ประหลาดก็ยังคงเกิดขึ้น
เสียงเคาะดังขึ้นทั่วบ้านใหม่ และแกทบินน์ก็มีอาการชักเกร็งผิดธรรมชาติ ร่างกายบิดโค้ง สำรอกฟองออกมา บุมฮาร์ทพยายามช่วยเธอด้วยการจับมือเธอแล้วตะโกนให้เธอสวดมนต์ และเธอก็สงบลงชั่วคราว
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อบุมฮาร์ทได้ยินเสียงจากร่างของแกทบินน์ที่ไม่ใช่เสียงของเธอเอง เสียงนั้นบอกว่า "มันทนไม่ได้ มันทนที่จะฟังการกล่าวถึงพระเจ้าไม่ได้" และสารภาพว่าได้ฆ่าเด็ก 2 คนและฝังไว้ในทุ่ง และถูกผูกมัดไว้กับปีศาจ บุมฮาร์ทเริ่มเชื่อว่าแกทบินน์ถูกปีศาจหลายตนเข้าสิง ร่างของแกทบินน์มีการแสดงออกที่ก้าวร้าว ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น และพยายามฆ่าตัวตาย
เมื่อ บุมฮาร์ท พยายามขับไล่ปีศาจออกจากร่างของแกทบินน์ เสียงที่ออกมาจากปากของเธอตะโกนว่า "จบแล้ว ทุกอย่างถูกเปิดเผย เจ้าได้ทำลายพวกเราจนย่อยยับ ทั้งฝูงกำลังล่มสลาย มีแต่ความสับสนและวุ่นวาย และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้าด้วยการอธิษฐานที่ไม่หยุดหย่อนของเจ้า เจ้ากำลังขับไล่พวกเราออกไปจนหมดสิ้น เรามีกันถึง 1067 ตน แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่ยังคงอยู่" และกล่าวว่า "พระเจ้าทรยศเราแล้ว เราถูกทอดทิ้งไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีใครเคยขับไล่พวกเราได้ แต่เจ้า เจ้ากลับทำสำเร็จ เจ้ากับคำอธิษฐานที่ไม่รู้จบของเจ้า"
สิ่งของประหลาดและการถูกขับไล่
ในช่วงปี 1843 แกทบินน์ เริ่มมีอาการอาเจียนเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่น่าะเป็นไปได้ออกมา เช่น เศษแก้ว เศษเหล็ก ตะปู หัวเข็มขัดรองเท้า เข็มหมุด และเข็มถักนิตติ้ง ซึ่งบางครั้งมีขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านลำคอของมนุษย์ได้ และบางครั้งเข็มก็หลุดออกมาจากหูของเธอด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ที่เห็นต่างตกตะลึง
แม้จะเผชิญความยากลำบากและข้อสงสัยในศรัทธา แต่บุมฮาร์ทก็ยังคงพยายามขับไล่ปีศาจออกจากร่างของแกทบินน์อย่างไม่ลดละ จนในที่สุดเสียงเหล่านั้นก็เงียบลงและแกทบินน์ก็กลับมาเป็นปกติในที่สุด เรื่องราวของแกทบินน์ ดิสซัส กลายเป็นตำนานของการขับไล่ปีศาจที่โด่งดังในศาสนาคริสต์ยุคใหม่ และเป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังแห่งศรัทธาและอำนาจที่มองไม่เห็น





















