อาการ "ปวดบิดท้อง": สัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม
ความหมายของ "ปวดบิดท้อง"
คำว่า “ปวดบิดท้อง” เป็นอาการหนึ่งในกลุ่มอาการปวดท้องชนิดเฉียบพลัน (acute abdominal pain) ที่มีลักษณะเฉพาะคือ:
-
ปวดเป็นๆ หายๆ
-
ลักษณะเหมือน “ถูกบีบ ถูกบิด หรือกระตุก”
-
มักสัมพันธ์กับ การบีบตัวของลำไส้ (intestinal spasms)
อาการนี้อาจเกิดได้กับลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะในช่องท้องอื่นๆ
กลไกทางสรีรวิทยา
ลำไส้ของเรามีกล้ามเนื้อเรียบซึ่งหดตัวเพื่อช่วยให้ขับเคลื่อนอาหาร เรียกว่า peristalsis หากเกิดการหดตัวผิดจังหวะ หรือแรงเกินไป จะรู้สึกเป็น “การบิดตัว” ซึ่งสัมพันธ์กับการ:
-
ย่อยและดูดซึมผิดปกติ
-
มีแก๊สสะสมมาก
-
การอักเสบภายในลำไส้
-
ลำไส้บีบตัวเพื่อต้านสิ่งกีดขวาง เช่น นิ่ว หรือเนื้องอก
สาเหตุหลักของอาการ “ปวดบิดท้อง”
1. ภาวะอาหารไม่ย่อย หรือการย่อยผิดปกติ (Dyspepsia)
-
เกิดจากกรดในกระเพาะสูง หรือกระเพาะบีบตัวผิดปกติ
-
อาการ: ปวดกลางท้อง ท้องอืด เรอบ่อย แน่นอก
2. ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome - IBS)
-
เกิดจากสมองและลำไส้สื่อสารผิดปกติ (gut-brain axis)
-
อาการ: ปวดบิดโดยไม่พบพยาธิสภาพชัดเจน สลับท้องผูก/ท้องเสีย
-
มักสัมพันธ์กับความเครียด และพฤติกรรมการกิน
3. ลำไส้อักเสบ (Gastroenteritis / Enterocolitis)
-
มักเกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรืออาหารปนเปื้อน
-
อาการ: ปวดบิดท้อง ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้
4. ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
-
เริ่มปวดบริเวณกลางท้อง ก่อนเคลื่อนไปที่ปีกสะโพกขวาล่าง
-
อาการ: ปวดต่อเนื่อง รุนแรงขึ้น มีไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
-
เป็น ภาวะฉุกเฉิน ต้องผ่าตัด
5. ลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction)
-
เกิดจากลำไส้ตีบตัน เช่น พังผืด เนื้องอก ไส้เลื่อน
-
อาการ: ปวดบิดรุนแรง อาเจียน ท้องไม่ผายลม ไม่ถ่าย
-
มักต้องผ่าตัดด่วน
6. โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ (Ureteric Colic)
-
นิ่วหล่นจากไตลงท่อไต ทำให้ปวดท้องบิดแบบเฉียบพลัน
-
ปวดร้าวจากหลังเอวไปขาหนีบ ปัสสาวะแสบ/ขุ่น/มีเลือด
การวินิจฉัยแยกโรค
จุดที่ปวด | โรคที่อาจเกี่ยวข้อง |
---|---|
กลางท้อง (Epigastric / Periumbilical) | กรดไหลย้อน, กระเพาะอาหารอักเสบ, ไส้ติ่งอักเสบ (ระยะแรก) |
ท้องขวาล่าง | ไส้ติ่งอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองลำไส้ติดเชื้อ |
ท้องซ้ายล่าง | ลำไส้ใหญ่อักเสบ, ถุงผนังลำไส้อักเสบ (diverticulitis) |
ทั่วท้อง / ท้องบวม | ลำไส้อักเสบติดเชื้อ, อาหารเป็นพิษ, ลำไส้อุดตัน |
ปวดร้าวหลัง | นิ่วในไต, ท่อไตอุดตัน, กล้ามเนื้อหลังอักเสบ |
แนวทางการดูแลเบื้องต้น
หากอาการไม่รุนแรง
-
ดื่มน้ำอุ่นจิบช้า ๆ
-
พักผ่อนให้เพียงพอ
-
หลีกเลี่ยงอาหารมัน เผ็ด แก๊สสูง เช่น ถั่ว, นม, น้ำอัดลม
-
หากมีลมมาก: ดื่มชาเปปเปอร์มินต์หรือขิงอุ่น
-
ถ้าท้องเสีย: ดื่ม น้ำเกลือแร่ ORS ป้องกันภาวะขาดน้ำ
ห้ามทำ!
-
ห้ามกินยาแก้ปวดแรง ๆ เช่น diclofenac โดยไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจกลบรอยโรค เช่น ไส้ติ่งอักเสบ
-
ห้ามใช้ยาระบายเอง หากสงสัยลำไส้อุดตัน
ควรไปโรงพยาบาลทันทีถ้ามีอาการเหล่านี้:
-
ปวดท้องรุนแรง หรือปวดไม่หายภายใน 6–12 ชั่วโมง
-
คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด
-
ถ่ายดำ/แดง หรือถ่ายไม่ออกเลย
-
ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะน้อย/คล้ำ
-
อ่อนเพลียมาก หน้าซีด เหงื่อออกเย็น ใจสั่น (ภาวะช็อก)
อาการ “ปวดบิดท้อง” อาจฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่สามารถเป็นสัญญาณเตือนของโรคสำคัญที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้ การแยกอาการจากตำแหน่งที่ปวด อาการร่วม และลักษณะเฉพาะของอาการ สามารถช่วยคัดกรองได้ในเบื้องต้น แต่ ไม่ควรประเมินเองหากอาการไม่ชัดเจนหรือปวดมาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง


















