เอ๊ะ! ทำไมใครๆ ก็ว่าผู้ชายกลัวเมียกันจัง?
กระแสสังคมมักหยอกล้อถึงภาพลักษณ์ของผู้ชายที่เกรงกลัวภรรยา จนเกิดเป็นคำติดปากและมุกตลกต่างๆ นานา แต่เมื่อพิจารณา เราจะพบว่าประเด็น "กลัวเมีย" นั้นมีความซับซ้อนและหลากหลายมิติมากกว่าที่เราคิด
หลายเสียงสะท้อนว่าเรื่องนี้เป็นเพียง มุกตลกและเรื่องขำขัน ที่ใช้พูดคุยกับเพื่อนฝูงเสียมากกว่า ชีวิตคู่ที่ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงหรือเกรงกลัวกันตลอดเวลา ย่อมไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุข การนำเรื่องนี้มาแซวกันจึงเป็นเพียงการสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและสนุกสนานในการพูดคุย
ขณะเดียวกัน หลายคนมองว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่า "กลัวเมีย" นั้น แท้จริงแล้วคือ การให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน ในฐานะคู่ชีวิต การที่ผู้ชายบางครั้งยอมตามใจภรรยา หรือรับฟังความคิดเห็นของภรรยา อาจไม่ได้เกิดจากความกลัว แต่เป็นเพราะตระหนักถึงความสามารถ ความคิดที่รอบคอบ หรือความต้องการของอีกฝ่าย การให้เกียรติซึ่งกันและกันจึงเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ที่ดี
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองที่น่าสนใจว่า ผู้หญิงในยุคปัจจุบันมีบทบาทและความคิดที่ซับซ้อน การเปิดใจรับฟังและให้ภรรยาเป็นผู้นำในบางเรื่อง อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่า การ "ยอม" ในบางสถานการณ์จึงอาจเป็นการตัดสินใจที่มาจากเหตุผลและความเข้าใจ มากกว่าความหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางบริบท คำว่า "กลัวเมีย" ก็อาจสะท้อนถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุล หรือการที่ผู้ชายต้องยอมจำนนต่ออำนาจของภรรยาด้วยความไม่เต็มใจ ซึ่งอาจมีรากฐานมาจากวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัว แต่จากบทสนทนาส่วนใหญ่แล้ว น้ำหนักของการตีความไปในทางขำขันและการให้เกียรติมีมากกว่า
กฎหมาย "เมีย" ที่ถูกหยิบยกมาเล่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำประเด็นนี้มาสร้างเสียงหัวเราะ โดยสมมติให้ภรรยาอยู่ในสถานะที่ถูกเสมอ หรือแม้กระทั่งเมื่อทำผิดก็ให้ย้อนกลับไปใช้กฎข้อเดิม สะท้อนให้เห็นว่าสังคมรับรู้ถึง "อำนาจ" บางอย่างที่ภรรยามีในบ้าน แต่ก็เลือกที่จะนำมาตีความเป็นเรื่องตลก
ท้ายที่สุดแล้ว คำว่า "กลัวเมีย" อาจเป็นเพียง ภาพเหมารวม ที่ถูกสร้างขึ้นและส่งต่อกันมาในสังคม โดยไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของทุกคู่ชีวิต ความสัมพันธ์แต่ละคู่มีพลวัตและบริบทที่แตกต่างกัน การตัดสินว่าใคร "กลัว" ใคร อาจเป็นการลดทอนความซับซ้อนของความสัมพันธ์นั้นๆ การให้ความเคารพ การรับฟัง และการประนีประนอม น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าในการสร้างชีวิตคู่ที่มีความสุขและยั่งยืน มากกว่าการมานั่งตัดสินว่าใครเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะที่ "กลัว" กันแน่
















