แสงไฟเข้าตามากเกินไป อาจทำให้ตาบอดจริงหรือ?
ในยุคที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตท่ามกลางแสงไฟ ทั้งจากดวงอาทิตย์ หลอดไฟภายในบ้าน ไปจนถึงจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ การที่แสงสว่างจ้าเข้าสู่ดวงตามากเกินไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน
โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีแสงจ้ามากกว่าปกติ จึงเกิดคำถามสำคัญว่า “แสงไฟหรือแสงแดดที่เข้าตามากเกินไป จะทำให้ตาบอดได้จริงหรือไม่?”
แสงสว่างมีผลกระทบต่อดวงตาอย่างไร?
ดวงตาของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้สามารถรับแสงได้ในระดับที่เหมาะสม หากได้รับแสงที่จ้ามากเกินไป หรือได้รับในระยะเวลานานโดยไม่มีการพักผ่อนหรือป้องกัน อาจก่อให้เกิดปัญหาทางสายตาได้ในระยะยาว เช่น
ภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากแสง (Photochemical Retinopathy): มักเกิดจากการจ้องมองแสงจ้า เช่น แสงอาทิตย์โดยตรง หรือแสงจากเลเซอร์/ไฟเชื่อม
อาการตาล้า (Eye Strain): พบมากในผู้ที่จ้องจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน
อาการแสบตา แห้งตา หรือเคืองตา จากแสงไฟฟลูออเรสเซนต์หรือไฟ LED ที่สว่างเกินไป
เสี่ยงตาบอดเฉียบพลัน กรณีได้รับแสงที่มีพลังงานสูงมาก เช่น แสงเลเซอร์ แสงเชื่อมเหล็ก โดยไม่สวมแว่นป้องกัน
แม้ว่าการได้รับแสงสว่างทั่วไปจากหลอดไฟบ้านจะไม่ทำให้ “ตาบอดโดยตรง” แต่หากรับแสงมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะแสงสีฟ้าจากหน้าจอ อาจส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อมก่อนวัย และเกิดปัญหาการมองเห็นระยะยาวได้
วิธีดูแลและป้องกันดวงตาให้ปลอดภัยจากแสงสว่างจ้า
1. หลีกเลี่ยงการจ้องแสงจ้าโดยตรง
หลีกเลี่ยงการจ้องแสงอาทิตย์โดยตรง และไม่ควรมองไฟเลเซอร์หรือแสงจากอุปกรณ์เชื่อมโลหะโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตา
2. พักสายตาทุก 20 นาที
ใช้กฎ 20-20-20: ทุก 20 นาที ให้มองไปที่วัตถุที่ห่างออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาที
3. ปรับแสงในห้องให้เหมาะสม
แสงไม่ควรสว่างจ้าจนแสบตา หรือมืดจนต้องเพ่ง ปรับให้พอดีกับกิจกรรม เช่น อ่านหนังสือ ควรใช้ไฟวอร์มไวท์ที่สบายตา
4. สวมแว่นกันแดดเมื่อออกนอกบ้าน
เลือกแว่นที่สามารถกรองรังสี UVA และ UVB ได้จริง เพื่อปกป้องเลนส์ตาและจอประสาทตาจากแสงแดด
5. เลือกหน้าจอและหลอดไฟที่ปลอดภัยต่อดวงตา
หลอดไฟที่มีค่าแสงสี (Color Temperature) ประมาณ 2700-3000K จะให้แสงอุ่นที่ไม่ระคายเคืองสายตา และเลือกหน้าจอที่มีฟิลเตอร์ลดแสงสีฟ้า
6. รับประทานอาหารที่บำรุงสายตา
อาหารที่มีวิตามินเอ ลูทีน และซีแซนทีน เช่น แครอท ผักใบเขียว ไข่แดง ปลาทะเล จะช่วยบำรุงดวงตาได้ดี
7. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองโรคจอประสาทตาเสื่อม ต้อหิน ต้อกระจก ที่อาจเกิดจากแสงสะสม
แม้ว่าแสงสว่างในชีวิตประจำวันจะดูไม่มีพิษภัย แต่หากละเลยการดูแลดวงตา หรือเผชิญกับแสงที่จ้ามากเกินไปในระยะยาว ก็อาจนำไปสู่ปัญหาสายตารุนแรงหรือความเสี่ยงต่อการมองเห็นได้เช่นกัน ดังนั้น การรู้จักป้องกันและดูแลสายตาอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เรายังสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนในทุกช่วงวัยของชีวิต
หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ควรปรึกษาแพทย์ดวงตาโดยเร็วเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัยนะคะ





















