15 มุมด้านมืดของประเทศญี่ปุ่น แปลกแต่จริง
แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะเป็นที่รู้จักในด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าและวัฒนธรรมอันงดงาม ตามที่เราเห็นและได้ำปเที่ยวกันมา
แต่เบื้องหลังยังมีปัญหาสังคมและประวัติศาสตร์ด้านมืด ที่ส่งผลกระทบต่อประชากรหลากหลายๆ กลุ่ม ปัญหาเหล่านี้ครอบคลุม ตั้งแต่ ทางด้านภาวะสุขภาพจิต การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและเพศ ไปจนถึงการใช้แรงงานบังคับและอาชญากรรมที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งหากไม่เข้าใจแก่นแท้และมาตรการแก้ไข ก็ยั้งคงมีปํญหาเหล่านี้ซ่อนอยู่ในมุมมืดต่อไป
1. อัตราการฆ่าตัวตายสูง รายงานใหม่ระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตายของญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 17.2 รายต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แม้จะลดลงกว่า 35% ระหว่างปี 2006–2022 แต่ยังคงเป็นประเด็นสุขภาพจิตระดับชาติที่ต้องให้ความสำคัญ
ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตแบบฮิคิโคโมริในปี 2004
2. ฮิกิโกโมริ (Hikikomori) คือการถอนตัวออกจากสังคม โดยสิ้นเชิงและแสวงหา ทั้งจำกัดทางสังคมในขั้นที่รุนแรง ฮิคิโคโมริหมายถึงทั้งปรากฏการณ์โดยทั่วไปและผู้เก็บตัวเอง ซึ่งอธิบายว่าเป็นผู้โดดเดี่ยว
กลุ่มคนหนุ่มสาวและวัยกลางคนกว่า 610,000 คน เลือกตัดขาดจากสังคมโดยไม่ออกจากบ้านเลย ส่งผลต่อทั้งสุขภาพจิตและเศรษฐกิจครอบครัว
3. การตายเพราะทำงานหนักเกินไป (Karoshi) หรือถึงขั้นเป็นโรค Karoshi Syndrome โรคทำงานหนักจนตาย โรคนี้มีมในประเทศญี่ปุ่น และมักจะมีข่าวกันบ่อยๆ ถึงการเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเกิดจากการเครียดสะสม การทำงานอย่างหนักของคนญี่ปุ่นที่ทุ่มเทมากๆ ทำให้ร่างกายไม่ได้หยุดพักอย่างเหมาะสม
นั่นเป็นการเสียชีวิตจากโรคหัวใจหรือหลอดเลือดและภาวะเครียดสะสมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเกินชั่วโมง และยังนำไปสู “Karojisatsu” คือการฆ่าตัวตายจากความกดดันในการทำงานอีกด้วย
4. มินามาตะ (Minamata Disease) เป็นโรคทางระบบประสาท ที่เกิดจากพิษปรอท อย่างรุนแรง อาการที่แสดง ได้แก่อาการอะแท็กเซียอาการชาที่มือและเท้ากล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั่วไป สูญเสียการมองเห็นรอบข้างใน บางส่วน และความเสียหายต่อการได้ยินและการพูดในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดอาการวิกลจริต อัมพาตโคม่าและเสียชีวิต
ส่วนใหญ่เป็นโรคพิษเมทิลเมอร์คิวรีที่เกิดจากการปล่อยสารปรอทจากโรงงานลงสู่แม่น้ำจนชาวประมงและประชาชนบริโภคอาหารทะเลเป็นเวลานาน จนเกิดอัมพาตและความพิการถาวร ในปีพ.ศ. 2544 พบมีผู้ป่วย 2,265 รายที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นโรคมินามาตะและผู้ป่วยมากกว่า 10,000 ราย
5. การเลือกปฏิบัติต่อ กลุ่มบูระกุมิน (Burakumin) เป็นกลุ่มสังคมของชาวญี่ปุ่น ที่สืบเชื้อสายมาจากสมาชิกของชนชั้นศักดินา ที่เกี่ยวข้องกับเกะกะเระ (ความไม่บริสุทธิ์') ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับความตาย เช่น พวกเพชฌฆาต ขุดหลุมศพ คนงานโรงฆ่าสัตว์ เชือดเนื้อและฟอกหนัง
บุราคุมินจะมีลักษณะทางกายภาพที่แยกไม่ออกจากคนญี่ปุ่นกลุ่มอื่น แต่ในอดีตถือกันว่าเป็นกลุ่มที่แยกจากสังคม เมื่อมีการตรวจพบและระบุตัวตนได้ พวกเขามักจะถูกเลือกปฏิบัติและถูกตัดสินไปในทางไม่ดี และโดนเหยียด ในปี 2000 มีบุราคุมิน ประมาณ 3 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศ โดยส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่นตะวันตก
ชาวบูระกุมินถูกกีดกันทางสังคมและเศรษฐกิจ แม้จะไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ แต่มีรากเหง้าจากระบบวรรณะในอดีตที่ยังหลงเหลือจนถึงปัจจุบัน
6. การกดขี่ชนเผ่าไอนุ (Ainu) ในญี่ปุ่นจะเรียกชาวไอนุ เป็นชนพื้นเมืองบนเกาะฮกไกโดในประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าชาวไอนุมีเชื้อสายคอเคซอย หรือชาวผิวขาว ซึ่งเป็นคนละเชื้อสายกับชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ทฤษฏีที่ว่านี้มาจากรูปลักษณ์ของชาวไอนุที่เป็นแบบผสมระหว่างชาวยุโรปและชาวเอเซีย
ปัจจุบันชาวไอนุเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีฐานะยากจนมากที่สุดในญี่ปุ่น แม้รัฐบาลจะตรา “กฎหมายส่งเสริมไอนุ” ในปี 2019 แต่ชนพื้นเมืองไอนุก็ยังเผชิญความยากจนและการเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
7. ยากูซ่า (Yakuza) องค์กรอาชญากรรมจัดตั้ง (gokudō) ของญี่ปุ่นยังดำเนินกิจกรรมทั้งพนันผิดกฎหมาย ค้าอาวุธ และฟอกเงิน แม้จะถูกกดดันโดยกฎหมายต่อต้าน แต่ก็ยังฝังรากลึกในบางชุมชน เป็นรู้ๆ กัน ไม่ต้องพูดเยอะ
8. การค้ามนุษย์ (Human Trafficking) ในหลายๆ ก็มี ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทาง แหล่งที่มา และทางผ่านที่สำคัญสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์
แรงงานต่างด้าวชายและหญิง ผู้หญิงและเด็กที่ถูกล่อลวงมายังญี่ปุ่นด้วยการแต่งงานหลอกลวงและถูกบังคับให้ค้าประเวณีรวมถึง พลเมือง ญี่ปุ่น "โดยเฉพาะเด็กสาววัยรุ่นที่หนีออกจากบ้านและเด็กที่เกิดในต่างประเทศของพลเมืองญี่ปุ่นที่ได้รับสัญชาติ"
"ตาม รายงานการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2024 รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการขจัดการค้ามนุษย์อย่างครบถ้วน
แม้ว่าจำนวนคดีที่ถูกดำเนินคดีจะน้อย แต่ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์แรงงานและการค้าบุหรี่ทางเพศที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ
9. ความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) จากสถิติของรัฐบาลในปี 2015 พบว่าผู้หญิงญี่ปุ่น 1 ใน 4 คนถูกสามีทำร้ายร่างกาย ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายหากใครก็ตามทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม
ผู้หญิงในญี่ปุ่นหนึ่งในสี่คนอายุเกิน 20 ปี เคยประสบความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจจากคู่สมรสหรือครอบครัว ทำให้ต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายคุ้มครอง
10. การกลั่นแกล้งในโรงเรียน (Ijime) อิจิเมะ”หรือการรุกรานทางร่างกายหรือจิตใจ ที่มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่ถูกมองว่าอ่อนแอกว่าในระดับที่เป็นอันตราย ในปี 2019 กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นรายงานว่าการกลั่นแกล้งในโรงเรียนเพิ่มขึ้นเกือบ 610,000 กรณี
นอกจากนี้ สถิติที่น่ากังวลยังเผยให้เห็นว่าการฆ่าตัวตายเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของบุคคลที่มีอายุระหว่าง 6 ถึง 18 ปี โดยนักเรียนอายุต่ำกว่า 18 ปีมากถึง 514 คนฆ่าตัวตายในปี 2022
การรังแกและกระทำรุนแรงทางร่างกาย/จิตใจต่อเด็กนักเรียนยังเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ มีรายงานว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของการลาออกกลางคันและปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก
11. ช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศ (Gender Pay Gap) จากการสำรวจของรัฐบาลพบว่าพนักงานหญิงประจำในญี่ปุ่นได้รับค่าจ้างที่สูงกว่าพนักงานชายในปีที่แล้วถึง 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ประเทศนี้เผชิญในการบรรลุความเท่าเทียมกันทางเพศในสถานที่ทำงาน
ญี่ปุ่นมีอัตราช่องว่างค่าจ้างเพศหญิง–ชาย 24.5% ในปี 2018 ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในกลุ่ม OECD จนต้องมีมาตรการกระตุ้นความเท่าเทียมในสถานที่ทำงาน
12. การเลือกปฏิบัติ LGBT ญี่ปุ่นถูกกดดันจากประเทศสมาชิก G7 อื่นๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาให้ยอมให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ผู้นำเศรษฐกิจกล่าวว่าพวกเขาหวั่นเกรงว่าญี่ปุ่นจะไม่สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้หากขาดความหลากหลายที่มากขึ้น รวมถึงการเป็นตัวแทนของชุมชนเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และทรานส์เจนเดอร์
แม้มีความพยายามผ่านกฎหมายสนับสนุนการรับรู้ LGBT แต่การห้ามเลือกปฏิบัติยังไม่ครอบคลุมทุกมิติ ทำให้กลุ่มเพศหลากหลายยังเผชิญการกีดกันในสังคมและที่ทำงาน
13. การทุจริตและอามาคุดาริ (Amakudari) หมายถึงการจ้างงานข้าราชการระดับสูงในบริษัทเอกชนและของรัฐ และองค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐหลังจากเกษียณอายุ โดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในเขตอำนาจของกระทรวงที่ตนเกษียณอายุมา
ระบบอามาคุดาริที่ข้าราชการเกษียณรับตำแหน่งในบริษัทที่เคยกำกับดูแล ถูกวิจารณ์ว่าส่งเสริมการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐ
14. โศกนาฏกรรม “การตายเดียวดาย” (Kodokushi) จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโคโดคุชิหรือการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในญี่ปุ่นกำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟู เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดอุทิศเวลาให้กับการทำความสะอาดหลังจากชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
ในปี 2567 พบว่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นจะเสียชีวิตเพียงลำพังปีละ 68,000 รายผู้สูงอายุจำนวนมากเสียชีวิตและร่างไม่ถูกพบเป็นเวลาหลายวัน จนต้องจัดตั้งโครงการอาสาสมัครและระบบเซ็นเซอร์เพื่อตรวจการณ์ป้องกัน
15. ความเปราะบางของผู้สูงอายุและความเหงา ผู้อาวุโสในญี่ปุ่นมีความเสี่ยงสูงต่อการแยกตัวและความเหงา แม้บางคนไม่ได้โดดเดี่ยวแต่ก็รู้สึกเดียวดาย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกาย
ภายในปี 2593 ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่น 20% จะต้องใช้ชีวิตคนเดียว ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องการแนวทางแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยง การตายเดียวดาย” (Kodokushi) ซึ่งส่วนใหญ่คือผู้สูงอายุที่สิ้นใจไปโดยไม่มีใครรู้เห็นและไม่มีใครมาเป็นเพื่อน
ที่มา: https://pantip.com/topic/33810266
https://en.wikipedia.org/wiki/Hikikomori
https://en.wikipedia.org/wiki/Burakumin
https://en.wikipedia.org/wiki/Human_trafficking_in_Japan
https://en.wikipedia.org/wiki/Suicide_in_Japan?utm_source=chatgpt.com
https://pulitzercenter.org/stories/karoshi-deep-look-japans-unforgiving-working-culture?utm_source=chatgpt.com

















