โรคหัด(Measles) ระบาดหนัก แต่เราต้องรอด
ข่าวต่างประเทศรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคหัดแล้ว 1,001 ราย ใน 31 พื้นที่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกได้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
แล้วโรคหัดที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ สาเหตุเกิดจากอะไร ป้องกันยังไง และมีวิธีรักษาไหม ทำไมถึงได้ระบาดหนักขนาดนี้
วันนี้มีข้อมูลดี ๆ มาฝาก และเป็นประโยชน์กับทุกคนแน่นอน
โรคหัด (Measles) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายทางอากาศ เกิดจากไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus ผู้ป่วยมักมีไข้สูง ผื่นขึ้น และอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
อาการของโรคหัด
โรคหัดมีระยะฟักตัวประมาณ 10-14 วันหลังจากได้รับเชื้อ อาการแบ่งเป็น 2 ระยะหลัก ได้แก่
1. ระยะก่อนผื่นขึ้น (Prodromal Phase)
- ไข้สูง
-ไอแห้ง
-น้ำมูกไหล
- ตาแดง
- มีจุดขาวภายในกระพุ้งแก้ม เรียกว่า "Koplik’s spots" (ลักษณะเฉพาะของโรคหัด)
2. ระยะมีผื่น (Eruptive Phase)
ผื่นแดงราบนูนเล็กน้อย เริ่มจากใบหน้า ลามลงตัว แขน ขา
-ไข้ยังคงสูง
- อาการไอและไม่สบายตัวมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
-ปอดบวม (Pneumonia)
-หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media)
-สมองอักเสบ (Encephalitis)
-ภาวะท้องเสียรุนแรง
-อาจถึงขั้นเสียชีวิตในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
การป้องกันโรคหัด
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคหัดคือ "การฉีดวัคซีน MMR (Measles-Mumps-Rubella)"
-เข็มแรก: เมื่ออายุ 9-12 เดือน
-เข็มที่สอง: เมื่ออายุ 2.5-7 ปี
วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้สูงถึง 97% และเป็นวิธีการควบคุมการระบาดที่ดีที่สุด
โรคหัดในยุคปัจจุบัน
แม้ว่าการแพทย์จะก้าวหน้า แต่วัคซีนที่ไม่ครอบคลุมในบางพื้นที่ ทำให้เกิดการระบาดของโรคหัดเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนไม่ครบ
โรคหัดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวัคซีน และไม่ควรมองข้ามถึงความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การให้ความรู้เรื่องวัคซีนและการเฝ้าระวังการระบาดยังคงมีความสำคัญในทุกสังคม

















