เรื่องเล่าจากลูกสู่แม่ ตอน " ค่าน้ำนม "
“ ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม ” แน่นอนครับ...จากวรรคหนึ่งในบทเพลง “ ค่าน้ำนม ” ของคุณไพบูลย์ บุตรขัน ได้การันตีถึงคุณค่าของน้ำนมแม่ไว้อย่างสุดซึ้ง ว่า “ จะมีอะไรเหมาะสม” นั่นหมายถึง คุณค่าของน้ำนมแม่หาสิ่งใดเทียบเท่าไม่มี ไม่ว่าจะเชิงคุณค่าทางด้านอาหาร หรือคุณค่าทางด้านจิตใจ ผู้เขียนเคยเข้าอบรมที่อนามัยของหมู่บ้านเรื่องสุขภาพดีด้วยนมแม่ มีตอนหนึ่งที่คุณหมอกล่าวว่า “ น้ำนมแม่เสมือนวัคซีนหยดแรก ที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ทารกได้เป็นอย่างดี ”
ผู้เขียนเองเกิดในครอบครัวชาวนามีฐานะค่อนข้างยากจน จึงมีโอกาสได้สัมผัสกับรสชาติของนมแม่มากหน่อย เมื่อได้รับความรู้จากคุณหมอ ผู้เขียนใจชื้นขึ้นมามากในเรื่องสุขภาพร่างกายที่ได้รับจากนมแม่แต่วัยเด็ก แม่เคยบอกผู้เขียนว่าผู้เขียนดื่มนมแม่จนกระทั่งอายุถึง 2 ขวบ แม่ถึงให้เลิกดื่ม แม่หากลวิธีต่างๆนานา เช่น ใช้บอระเพ็ดทาให้หัวนมมีรสขมบ้าง หลอกว่าเอาขี้ไก่มาทาบ้าง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรมากนักที่แม่ทำอย่างนั้น ประการแรกลูกโตขึ้นฟันเยอะขึ้น เวลาลูกดูดนมหัวนมแม่เป็นแผลแม่เจ็บ ประการที่สองเมื่อถึงประมาณลูกอายุได้ 1 ขวบครึ่ง วิตามินและสารอาหารในน้ำนมของแม่ก็เริ่มจะลดลง แม่จึงพยามหาวิธีเสริมสร้างสารอาหารด้านใหม่ให้ลูกมากกว่า การเสริมสร้างสารอาหารด้านใหม่ก็ไม่มีอะไรมากตามวิถีเรียบง่ายของชาวบ้าน คือ การเคี้ยวข้าวเหนียวให้ละเอียดห่อใส่ใบตองกล้วยแล้วนำไปย่างไฟให้สุก บ้านผู้เขียนเรียกว่า “ ข้าวหมก ” เมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอมมาก กลิ่นหอมของใบตองและข้าวเหนียวย่างไฟชวนรับประทานเจริญอาหาร ผู้เขียนเองชอบมาก ด้วยข้าวเหนียวมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตสูงจึงสร้างพลังงานให้แก่ร่างกายเหมาะสมกับวัยได้ดี นี่ก็เป็นอีกภูมิปัญญาชาวบ้านด้านหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดมาแต่ครั้งปู่ ย่า ตา ยาย สู่ลูกหลาน ควบคู่ไปกับการดูดดื่มนมแม่ หากตอนนี้มีใครถามผู้เขียนว่า “ นมของแม่อร่อยไหม?” ผู้เขียนเองคงไม่แน่ใจนักว่ารสชาติที่ติดลิ้นมันจะหวานสู้นมวัวในปัจจุบันได้ไหม ... ผู้เขียนรู้แต่เพียงว่าการดูดนมวัวจากกล่อง คงอบอุ่นสู้นมจากอ้อมอกของแม่ไม่ได้แน่นอน ส่วนความหวานนั้นคงจะได้จากความสัมพันธ์ที่สื่อออกมาจากใจแม่สู่ลูก มันคือจุดเริ่มต้นของสายใยรักจากครอบครัวครับ




















