โมเดลธุรกิจบริการ VS. โมเดลธุรกิจขายของออนไลน์
โมเดลธุรกิจบริการ
ธุรกิจบริการ หมายถึง ธุรกิจที่ไม่มีการส่งมอบสินค้าที่จับต้องได้ แต่เป็นการแก้ปัญหาหรือให้บริการเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กับลูกค้า เช่น ร้านตัดผม ร้านนวด ร้านซักรีด บริการรับถ่ายเอกสาร พิมพ์งาน เข้าเล่ม บริการรักษาความปลอดภัย บริการทำความสะอาด ธุรกิจนำเที่ยว บริการจัดส่งสินค้า รับเหมาก่อสร้าง สอนภาษา สอนทำขนม สอนงานฝีมือ ธุรกิจ Fitness ให้เช่าสถานที่เพื่อจัดอบรม สัมมนา หรือจัดประชุม ให้เช่าพื้นที่ทำงาน ฯลฯ
เป้าหมายของธุรกิจประเภทนี้ก็คือ ลูกค้าที่มารับการบริการได้รับความพึงพอใจ ดังนั้น เรื่องสำคัญของธุรกิจการบริการคือ พนักงานที่ให้บริการลูกค้า ต้องได้รับการฝึกอบรมในเรื่องความรู้ ความสามารถในการให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
ธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับแต่ละธุรกิจด้วย ดังนั้น ต้องศึกษาให้ดีก่อน
ได้แก่ ซึ่งโมเดลธุรกิจบริการ สามารถแตกออกได้เป็นหลายรูปแบบ
1.มีสถานที่ให้บริการลูกค้า และมีพนักงานของตนเองคอยให้บริการในร้าน เช่น ร้านตัดผม ร้านนวดตัว ร้านนวดหน้า ทำเล็บ ธุรกิจเสริมความงาม ร้านซักอบ บริการรับถ่ายเอกสาร พิมพ์งาน
เข้าเล่ม บริการจัดส่งสินค้า ฯลฯ
2.มีสถานที่ให้บริการลูกค้า แต่ผู้ให้บริการอาจจ้างพนักงาน Outsource โดยจ้างเป็นรายชั่วโมง รายครั้ง หรือรายวัน เช่น โรงเรียนกวดวิชา สอนภาษา สอนทำขนม สอนงาน ฯลฯ
3.มีสานักงาน แต่ส่งพนักงานไปให้บริการลูกค้า เช่น บริการรักษาความปลอดภัย บริการทำความสะอาด ธุรกิจนำเที่ยว บริการจัดส่งสินค้า รับเหมาก่อสร้าง ฯลฯ
4.รับงานผ่าน App หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วส่งพนักงานไปบริการลูกค้า เช่น บริการจัดส่งสินค้า บริการทำความสะอาด บริการนวดในที่พักของลูกค้า บริการเพื่อนเที่ยว บริการพาไปพบแพทย์ ฯลฯ ธุรกิจประเภทนี้เป็นการสร้างความภักดี (Loyalty) ของลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น รวมไปถึงต้องเรียนรู้เทคโนโลยี เพื่อสร้างการรับรู้ในโลกออนไลน์ การพูดแนะนำจากปากต่อปาก จะสามารถขยายฐานลูกค้าให้เราได้มาก แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าเกิดความไม่พอใจในการรับการบริการ แล้วเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจได้ โลกโซเชียลและการพูดปากต่อปากก็อาจจะทำให้ธุรกิจประเภทนี้ต้องปิดตัวลงเลยก็ได้
โมเดลธุรกิจขายของออนไลน์
ธุรกิจขายของออนไลน์จัดเป็นธุรกิจประเภท E-commerce ซึ่งแยกย่อยได้หลายประเภท แต่ประเภทที่เราจะมาพูดถึงในตอนนี้จะเป็นการขายแบบ Business to Consumer (B2C) และธุรกิจแบบ Consumer to Consumer (C2C) เท่านั้น
ปัจจุบันช่องทางแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวกในการจัดส่งสินค้า มีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ฯลฯ
การขายในช่องทางออนไลน์ นอกจากจะขายสินค้าที่จับต้องได้แล้ว ยังอาจขายสินค้าที่จับต้องไม่ได้หรือที่เรียกว่า Digital Products ได้อีกด้วย เช่น คูปองส่วนลด หนังสือแบบ E-book คอร์สออนไลน์ การให้คำปรึกษา นอกจากนี้ยังอาจเป็นการขายบริการ เช่น การรับเขียนบทความ รับจ้างทำอาร์ตเวิร์ก รับจ้างทำแบนเนอร์ เป็นต้น
ข้อดีของสินค้าแบบนี้ก็คือ ไม่ต้องมีค่าจัดส่ง แต่ก็ต้องมีระบบการจัดการที่ดี มิฉะนั้นอาจถูกละเมิดลิขสิทธิ์ได้ หากมีระบบการป้องกันที่ไม่ดีพอ
ข้อควรพิจารณาก็คือ การทำสินค้าแบบ Digital Products และการให้บริการเหล่านี้ หากเราไม่ได้เป็นคนทำด้วยตัวเอง ก็ต้องใช้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ธุรกิจแบบนี้ยังรวมถึงธุรกิจ Content Creators หรือ Influencers บน Digital Platforms ที่มีรายได้จากยอดวิว Contents ของ Followers ยอดเหรียญ ยอดดาว หรือของขวัญดิจิทัลที่ลูกค้าซื้อให้บน YouTube,TikTok, IG, Facebook Live Video ฯลฯ ยอดวิวจาก In-Stream Ads ใน Video Contents YouTube, Facebook Videos, Facebook Reels ฯลฯ
รายได้จากการ Subscriptions ของผู้ติดตาม เช่น บน Facebook, OnlyFans ฯลฯ รายได้จากค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มจากการ Collaborate กับแบรนด์ และรายได้เกี่ยวเนื่องจากการรับเป็น Presenter หรือออกงาน Event
สินค้าที่นำมาขายออนไลน์ หากไม่ได้ทำเอง หรือจ้างโรงงานผลิตเอง แต่เป็นของแบบซื้อมาขายไป จะมีข้อเสียก็คือ เราอาจจะได้กำไรไม่มากนัก และไม่สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้
สินค้าบางอย่างแข่งกันด้วยรูปแบบของสินค้าที่มีให้เลือกหลายแบบ สินค้าบางอย่างแข่งขันกันด้วยราคาบางอย่างแข่งกันด้วยคุณภาพสินค้า และแบรนด์ หรือถ้าเราขายของแบบเดียวกับคนอื่น ๆ แต่มั่นใจว่าชื่อเสียงเราดีกว่า บริการของเราดีกว่า เราก็อาจตั้งราคาที่สูงกว่าคู่แข่งได้ แต่ถ้าแข่งขันกันด้วยการลดราคา แล้วสายป่านเราไม่ยาวพอ ธุรกิจก็อาจจะไปต่อไม่ได้ ผู้ค้าบางรายใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางเสริมจากช่องทางออฟไลน์เดิม จนบางรายมีรายได้หลักมาจากช่องทางนี้เลยก็มี Business to Consumer (B2C) เป็นการขายจากธุรกิจไปยังลูกค้ารายย่อย มีทั้งซื้อมาขายไป หรือผู้ผลิตมาขายเอง โดยตัดคนกลางออกไปเพื่อให้ได้ผลกำไรมากขึ้น ผู้ขายหลายรายก็อาจใช้ช่องทาง TV ในการโฆษณาขาย แล้วรับออร์เดอร์ผ่านทาง Line OA บางรายก็ใช้ช่องทางการขายผ่าน Website ของตัวเอง แล้วไปใช้บริการรับชำระเงินผ่านตัวกลางรับชำระเงิน ใช้ช่องทางการรับชำระเงินผ่านธนาคารที่ผู้ขายพัฒนาระบบขึ้นเอง หรือเก็บเงินปลายทาง
Consumer to Consumer (C2C) เป็นการขายจากผู้ค้ารายย่อยไปยังลูกค้ารายย่อย ข้อดีก็คือ
ไม่ต้องมีหน้าร้านทำให้ตัดต้นทุนด้านค่าเช่าร้านออกไปได้ แต่การขายแบบนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อลูกค้าเห็นเราอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงต้องสร้างตัวตนของเราให้เป็นที่รู้จัก ยิ่งคนรู้จักมาก คน
เห็นเรามาก โอกาสในการขายก็จะเพิ่มขึ้น สินค้าที่นำมาขายในช่องทางนี้มีได้หลายแบบการขายสินค้าบางอย่าง อาจไม่ต้องสต็อกของเลยก็ได้ เช่น การขายแบบ Dropship หรือการขายโดยการแนะนำสินค้าแบบเป็น Affiliate บางรายก็ขายสินค้าทั่วไป บางรายขายสินค้าประเภทของสด หรือของกิน ซึ่งมีทั้งอาหาร ขนมเค้ก ผลไม้สด ต้นไม้ ฯลฯ สินค้าบางอย่างส่งแบบปกติได้ บางอย่างต้องส่งด่วน บางอย่างต้องส่งแบบแช่แข็ง เช่น เนื้อสเต๊ก ของทะเลสด ฯลฯ
ผู้ที่จะเข้ามาขายสินค้าแบบนี้ ควรมีความรู้และสามารถจัดการในเรื่องดังต่อไปนี้
- ช่องทางการขายสินค้า
กลุ่มลูกค้าของเราเป็นใคร ออนไลน์อยู่ในช่องทางไหน ใช้งานออนไลน์มากในช่วงเวลาใด จะขายผ่านช่องทางของตัวเอง เช่น Facebook, IG, TikTok ฯลฯ หรือขายในช่องทาง E-commerce หรือทั้ง 2 อย่าง
- ช่องทางการติดต่อกับลูกค้า
ต้องมีช่องทางที่ให้ลูกค้าติดต่อสอบถามข้อสงสัยได้อย่างสะดวก เช่น การ Chat ผ่านหน้า App หรือผ่านหน้าเว็บไซต์ และต้องสามารถตอบลูกค้าได้ในเวลาที่รวดเร็ว อย่าลืมว่า สินค้าที่ราคาไม่สูงมากนัก ลูกค้าจะตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มากกว่าฟังก์ชันการใช้งาน ถ้าลูกค้าถามมา แล้วเราตอบช้า
ลูกค้าอาจไปซื้อที่อื่นเลยก็ได้
- ระบบการรับออร์เดอร์ที่ดี
หากเป็นการขายผ่านช่องทางของเราเอง เราต้องทำระบบหลังบ้านที่รองรับคำสั่งซื้อให้ได้ทันในกรณีที่มีการสั่งซื้อเข้ามามาก ๆ เพราะการรับออร์เดอร์จำนวนมากๆ ด้วยคน ไม่ทันแน่นอน
- ช่องทางการรับชำาระเงิน
รับชำระเงินผ่านช่องทางไหนบ้าง มีระบบเก็บเงินปลายทางไหม
- ช่องทางการส่งสินค้า
ส่งโดยใช้พนักงานจัดส่งของตัวเอง ส่งโดยพนักงานขนส่งของบริษัทขนส่ง ส่งโดยไปรษณีย์ไทย หรือขนส่งเอกชน ต้องรู้ว่าจะต้องแพ็กสินค้าแบบไหนจึงจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์เมื่อสินค้าไปถึงปลายทาง สินค้าบางอย่างระวังเป็นพิเศษ เพราะแตกหัก หรือรั่วซึมได้ สินค้าบางอย่างต้องส่งด่วนแบบ Same-Day หรือ Next-Day เช่น ผลไม้ ขนมปัง สินค้าบางอย่างต้องส่งแบบแช่แข็ง เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ฯลฯ เพื่อให้สินค้าสดใหม่จนถึงมือผู้บริโภค สินค้าบางอย่างต้องเรียกบริษัทขนส่งให้นำส่งให้ ซึ่งเราจะต้องรู้ว่าใช้ช่องทางส่งสินค้าแบบไหนเหมาะสมที่สุด หรือประหยัดที่สุด เช่น ไปรษณีย์ไทยไม่มีการเก็บเพิ่มในการส่งของไปพื้นที่ห่างไกล แต่บริษัทขนส่งเอกชนส่วนใหญ่จะเก็บเพิ่ม
ไอเดียอาจเริ่มต้นมาจากความชอบแต่การทำธุรกิจ ต้องมีข้อมูลจริง ต้องรู้ลึกและรู้รอบการตัดสินใจเลือกโมเดลแบบไหนมาทําธุรกิจ อย่าใช้ความชอบแต่เพียงอย่างเดียว ต้องอยู่กับความจริง ต้องมีข้อมูลทั้งด้านกว้างและด้านลึก ต้องลงไปเก็บข้อมูลจริง ในทำเลที่เราตั้งใจจะไปทำธุรกิจ หรืออย่างน้อยก็ในทำเลที่ใกล้เคียงกัน วิเคราะห์ด้านการเงิน และวิเคราะห์ตลาด ให้แน่ใจว่าปัจจัยที่
เราควบคุมได้ เราจะเอาอยู่ ตัดปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ให้เหลือน้อยที่สุด แล้วต้องพยากรณ์ให้แม่นยำที่สุดว่า ปัจจัยเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต แล้วเราจะรับมืออย่างไร
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่วิเคราะห์ไว้ก็คงจะดี แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะการทำธุรกิจจะมีปัญหาเข้ามาตลอดเวลา หลาย ๆ อย่างมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาจมีคู่แข่งเข้ามา ธุรกิจเราอาจถูก Disrupt ด้วยเรื่องบางอย่าง
ดังนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ด้วย โดยต้องวิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการตลาด คู่แข่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในตลาดพยายามทำธุรกิจเราให้ Lean ให้มี Fixed Cost น้อย ๆ เมื่อธุรกิจไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เราจะได้ Move On ได้เร็ว
















