ฉีดฟิลเลอร์คาง ปรับรูปทรงคาง เติมเต็มคางบุ๋ม คางตัด คางสั้น มีข้อดีอย่างไร?
ฉีดฟิลเลอร์คาง ปรับรูปทรงคาง เติมเต็มคางบุ๋ม คางตัด คางสั้น มีข้อดีอย่างไร?
ถ้าใครกำลังอยากปรับรูปหน้าให้ดูเรียว สวยละมุน แต่ยังลังเลระหว่าง "เสริมคาง" กับ "ฉีดฟิลเลอร์คาง" ไม่รู้ว่าทางไหนตอบโจทย์มากกว่ากัน บทความนี้มีคำตอบค่ะ เพราะวันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์คาง พร้อมเปรียบเทียบข้อดี-ข้อจำกัดระหว่างการฉีดคางกับการเสริมคาง เพื่อให้สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น รวมถึงไขข้อสงสัยว่าการฉีดฟิลเลอร์คางควรใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและเป็นธรรมชาติค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์คาง คือการเติมสารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ฉีดลงในบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกตรงคาง เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม หรือคางตัด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูขาดมิติ
การฉีดฟิลเลอร์คางช่วยให้คางยาวขึ้นอย่างพอดี ช่วยเสริมให้ใบหน้าดูเรียว และสมดุลมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ที่สำคัญไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังฉีดสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์คาง
หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที คางจะดูยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวและสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้จะส่งผลต่อความชัดเจนของผลลัพธ์ โดยทั่วไป ฟิลเลอร์คางจะอยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและการดูแลตัวเองของแต่ละคน
นอกจากการฉีดฟิลเลอร์คางแล้ว ยังสามารถฉีดฟิลเลอร์ในจุดอื่น ๆ เพื่อเสริมความละมุนของใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์ปากที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้รอยยิ้ม หรือฟิลเลอร์ใต้ตาที่ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร?
การฉีดฟิลเลอร์คางเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับกลุ่มต่อไปนี้:
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปคางให้สวยขึ้นโดยไม่อยากผ่าตัด
- ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการเห็นผลรวดเร็ว
- ผู้ที่มีคางสั้น คางถอย หรือคางตัดที่ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล
- ผู้ที่มีคางบุ๋มและต้องการเติมเต็มให้เรียบเนียน
ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีปรับรูปหน้าที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยให้ใบหน้าได้สัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือปัญหาเป็นก้อนหลังฉีด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.romrawinclinic.com/filler/chin-fillers
ฉีดฟิลเลอร์คาง กับ เสริมคาง ต่างกันอย่างไร?
การเสริมคางและการฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อดีที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน
- หากต้องการผลลัพธ์ถาวร การเสริมคางด้วยซิลิโคนจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะอยู่ได้นาน ไม่ต้องเติมซ้ำ
- หากไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น หรือกลัวเจ็บ การฉีดฟิลเลอร์คางคือทางเลือกที่ดี เพราะเห็นผลทันที ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติใน 12–18 เดือน
เสริมคางแล้ว ฉีดฟิลเลอร์คางเพิ่มได้ไหม?
สามารถทำได้ในบางกรณี แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ แพทย์จะประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่ หากปลอดภัยและจำเป็น แพทย์จึงจะทำการฉีดให้ค่ะ
ข้อดี - ข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์คาง
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นอีกหนึ่งวิธีในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้:
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวและได้สัดส่วน (V-shape)
- แก้ไขปัญหาคางสั้น คางถอย หรือคางบุ๋มได้ทันที
ช่วยยืดคางให้ดูยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ - ฟิลเลอร์เป็นสารที่สามารถสลายได้เอง จึงปลอดภัยต่อร่างกาย
- เห็นผลหลังฉีดทันที ไม่ต้องรอพักฟื้น
- ใช้เวลาไม่นานในการทำ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องเติมซ้ำเมื่อฟิลเลอร์สลาย ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน
ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับใคร?
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวและสมส่วนขึ้น แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคน โดยกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์คาง ได้แก่:
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือเลือดออกง่าย
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาหรือส่วนประกอบของฟิลเลอร์
- ผู้ที่วางแผนจะผ่าตัดเสริมคางในอนาคต
- ผู้ที่มีลักษณะโครงสร้างคางบางแบบที่ไม่เหมาะกับการเติมฟิลเลอร์ เช่น คางที่ต้องการปรับโครงสร้างอย่างถาวร
ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรเตรียมตัวอย่างไร?
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ – ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ทั้งการเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพและข้อดีข้อจำกัด รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองหลังการฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอ – การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
- งดยาหรืออาหารเสริมบางชนิด – หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs, แอสไพริน, ยาละลายลิ่มเลือด, วิตามินอี และสารสกัดแปะก๊วย ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 3-7 วัน เพื่อป้องกันเลือดออกง่าย
- งดดื่มแอลกอฮอล์ – ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 วันก่อนการฉีด
- แจ้งโรคประจำตัว – หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาผิวหนัง – หากมีอาการผิวหนังอักเสบหรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาคางและความต้องการปรับรูปหน้า
- แจ้งโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ
- แพทย์ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดผิวและแปะยาชาบริเวณคาง รอให้ยาชาออกฤทธิ์
- แพทย์ฉีดฟิลเลอร์และปั้นคางให้ได้รูป
- รอให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัว
- แพทย์อธิบายการดูแลหลังฉีดและให้คำแนะนำ
ฉีดฟิลเลอร์คาง มีผลข้างเคียงอย่างไร?
หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น การเกิดก้อนหรือคางผิดรูป เช่น คางเบี้ยวหรือไม่เข้ากับรูปหน้า
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน มีใบอนุญาต และเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้
หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
- หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน แดดจัด และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก เช่น ซาวน่า หรือการทานอาหารที่มีความร้อนสูง (ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง)
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการนั่งเท้าคาง นั่งเอาเข่าชันคาง หรือการนวด คลึง เกาบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ในช่วงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์ผิดรูป
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยลดริ้วรอยร่องแก้มและรอบปากได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด ฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายสามารถสลายได้เอง
หลายคนอาจกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง เช่น การเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง การติดเชื้อ หรือปัญหาทางการมองเห็น แต่สิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการเลือกทำหัตถการกับแพทย์ในคลินิกที่มีมาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่รมย์รวินท์คลินิก คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่สวยงามตามที่คาดหวัง











