วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Helicopter Money
“วิธีที่ง่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกวิธีหนึ่ง ก็คือใช้เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปบนฟ้า และโปรยเงินลงมาเพื่อให้ประชาชนนำเงินไปจับจ่ายใช้สอย”
นี่คือ คำนิยามของทฤษฎี Helicopter money ที่ถูกคิดค้นโดย Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันในปี 1969
ทฤษฎีนี้คืออะไร
แล้วจริงๆ มันจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้หรือไม่
โดยทั่วไปนั้น นโยบายที่ทุกประเทศใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมี 2 วิธีหลัก
- การใช้นโยบายการเงินโดยธนาคารกลาง ผ่านกลไกของอัตราดอกเบี้ย เช่น ถ้าต้องการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ธนาคารกลางก็ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ในทางตรงข้าม ถ้าต้องการลดความร้อนแรงของระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางก็เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- การใช้นโยบายการคลัง เกี่ยวกับวิธีที่รัฐบาลจัดหารายได้และรายจ่าย ผ่านการจัดเก็บภาษีซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ลดการจัดเก็บภาษีลงแล้วใช้จ่ายมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า การใช้งบประมาณขาดดุล
ในทางตรงข้าม ถ้าต้องการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ก็ต้องจัดเก็บภาษีมากขึ้นแล้วลดการใช้จ่ายของรัฐบาลลง หรือที่เราเรียกว่า การใช้งบประมาณเกินดุล
แน่นอนว่า หลายปีมานี้เศรษฐกิจทั่วโลกนั้นอยู่ในภาวะชะลอตัว มาตรการที่หลายประเทศนำมาใช้จึงเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง และการใช้งบประมาณขาดดุลของรัฐบาล
สหรัฐอเมริกา อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ซึ่งเป็นการลดลงถึง 3 ครั้งในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2019
ประเทศไทย อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% อยู่ในช่วงที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้าเคยอยู่ในระดับนี้มาตอนปี 2008 ในช่วงวิกฤติซับไพรม์
สหภาพยุโรป อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0% มาตั้งแต่ปี 2016
ญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.1% มาตั้งแต่ปี 2016
นอกจากการลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ธนาคารกลางยังมีวิธีแปลกใหม่โดยการอัดฉีดปริมาณเงินเข้ามาในระบบ (Quantitative Easing) ผ่านการซื้อพันธบัตร ทำให้ราคาของตราสารเหล่านั้นสูงขึ้น และทำให้ผลตอบแทนของตราสารนั้นลดลง ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรที่อายุสั้นและยาวที่อยู่ในตลาดอยู่ในระดับต่ำ
และเมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง ธนาคารกลางเชื่อว่าจะนำไปสู่การลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง ก่อให้เกิดการจ้างงานและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะไปลงทุนภาคเศรษฐกิจจริง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยกลับนำเงินไปลงทุนในตลาดการเงิน เราจึงเห็นตลาดหุ้นหลายแห่งนั้นปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นจาก 866 จุด มาสู่ 3,110 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 259%
ตลาดหุ้นไทยที่ SET index เพิ่มขึ้นจาก 449 จุด มาสู่ 1,598 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 256%
แม้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นจะสร้างความมั่งคั่งให้แก่นักลงทุนมากขึ้น แต่ผลประโยชน์นั้นกลับตกอยู่กับกลุ่มคนจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ซึ่งถือว่ามีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า
ยังไม่รวมในกรณีที่ผู้บริโภคมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง หรือแม้แต่ภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต พวกเขาจึงปฏิเสธการกู้เงินเพื่อมาบริโภคหรือลงทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
พอเรื่องเป็นแบบนี้ วิธีการต่างๆ ที่รัฐบาลและธนาคารกลางหลายประเทศใช้กันอยู่นั้น จึงไม่ได้ทำให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นเติบโตมากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ที่สำคัญ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านั้นเป็นมาตรการส่งผ่านทั้งหมด ไม่มีวิธีไหนที่เป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบแล้วไปถึงมือประชาชนโดยตรงในทันที
จึงทำให้มีการพูดถึงทฤษฎี Helicopter money โดยการนำเงินที่ธนาคารกลางพิมพ์แล้วนำไปให้ประชาชนโดยตรงเพื่อใช้จ่ายหรือทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพราะเชื่อกันว่า วิธีนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น เปรียบเสมือนการใช้เฮลิคอปเตอร์มาบินอยู่เหนือท้องฟ้า แล้วโปรยเงินลงมาแจกประชาชน
ในอดีตที่ผ่านมานั้น หลายประเทศที่ใช้ทฤษฎี Helicopter money มีทั้งประสบความสำเร็จ อย่างกรณีของแคนาดาในช่วงระหว่างปี 1935-1975 ที่ใช้วิธีแจกเงินให้แก่ประชาชนควบคู่ไปกับการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ
แต่ก็มีบางประเทศ ที่ใช้วิธีการแจกเงินให้ประชาชนเพื่อสร้างความนิยมให้แก่รัฐบาล เมื่อรวมกับการใช้จ่ายของภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้สุดท้ายมูลค่าเงินของประเทศนั้นลดลง พร้อมทั้งปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เช่น กรณีของซิมบับเวในปี 1997 หรืออาร์เจนตินาในปี 2007-2015
สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น เราคงคุ้นเคยกับหลายโครงการที่มีลักษณะคล้ายๆ กับทฤษฎี Helicopter money ซึ่งวัตถุประสงค์ก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายและการบริโภคของประชาชน ซึ่งหลายฝ่ายตั้งความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้
แต่ต้องยอมรับว่า การบริโภคนั้นสามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งอาจไม่มีประโยชน์ต่อการเติบโตระยะยาว
การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวนั้น ต้องมาจากการลงทุนซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สร้างความมั่งคั่งและเติบโตอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ผ่านระบบการศึกษา
หรือการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อต่อยอดไปสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น โจทย์สำคัญของ Helicopter money ก็คือ หลังจากขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยเงินแล้ว จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ โดยไม่ต้องรอเฮลิคอปเตอร์ลำต่อไป
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
ช็อกวงการมวย! “ตะวันฉาย” ขาหักหลังพ่าย TKO ยกแรก
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติด
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
สุดสลดกลางกรุง สาววัย 36 ปีเสียชีวิตจากการตกจากคอนโดชั้น 35 ในเขตบางนา กทม.
ปุ๋ยล็อตใหญ่ ไปชายแดนเกือบ 3,000 นาย
เขมรมาแปลก! อ้าง "ทหารไทย" ใช้หมาบ้ามาโจมตีทหาร หวั่นมีเชื้อพิษสุนัขบ้า
ทหารกัมพูชา ใช้สไนเปอร์ หวังลอบยิง ผบ.ทหารเรือ
"รูบิโอ" หวังว่าไทย-กัมพูชา จะหยุดยิงได้ภายในวันจันทร์ไม่ก็อังคาร
เพื่อนชิ่งบิล 1,262 หยวน ทิ้งให้ “นายจาง” จ่ายคนเดียว เรื่องจริงที่สอนว่า กินข้าวต้องมีสติ ไม่ใช่แค่สั่งเมนู
วินาทีชีวิต! ภาพไวรัล "หนูนา" หน้าตาสุดอ้อนวอน ในกรงเล็บนกเหยี่ยว
เพื่อนชิ่งบิล 1,262 หยวน ทิ้งให้ “นายจาง” จ่ายคนเดียว เรื่องจริงที่สอนว่า กินข้าวต้องมีสติ ไม่ใช่แค่สั่งเมนู
ทหารกัมพูชา ใช้สไนเปอร์ หวังลอบยิง ผบ.ทหารเรือ
"รูบิโอ" หวังว่าไทย-กัมพูชา จะหยุดยิงได้ภายในวันจันทร์ไม่ก็อังคาร
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ




