การประหารเจ็ดชั่วโคตร คืออะไร
หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า “ประหารเจ็ดชั่วโคตร” ซึ่งถือเป็นบทลงโทษสูงสุดในกฎหมายโบราณของไทย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกบฏ การทรยศต่อแผ่นดิน หรือการกระทำอันเป็นภัยร้ายแรงต่อพระมหากษัตริย์และชาติบ้านเมือง โดยโทษดังกล่าวมิได้จำกัดอยู่เพียงผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลในตระกูลตามสายโลหิตที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถึงเจ็ดชั่วโคตร
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้อธิบายว่า “เจ็ดชั่วโคตร” คือ วงศ์สกุลที่สืบสายโลหิต โดยนับจากผู้กระทำความผิดขึ้นไปสามชั่วคน ได้แก่
- ชั้นพ่อแม่
- ชั้นปู่ย่าตายาย
- ชั้นปู่ทวด ย่าทวด ตาทวด และยายทวด
และนับจากผู้กระทำความผิดลงมาอีกสามชั่วคน ได้แก่
4. ชั้นลูก
5. ชั้นหลาน
6. ชั้นเหลน
เมื่อรวมตัวผู้กระทำความผิดด้วยแล้ว จึงเท่ากับ เจ็ดชั่วโคตร โดยที่ในแนวทางโบราณนี้จะไม่นับรวมผู้หญิงเป็นผู้ถูกประหาร แต่จะถูกใช้งานเป็นแรงงานของหลวงแทน เนื่องจากทัศนคติในยุคสมัยนั้นมองว่าหญิงเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง
บทลงโทษนี้มักปรากฏในกฎหมายว่าด้วยความผิดฐานกบฏ เช่นใน พระไอยการกบฏศึก ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์ หรือร่วมมือกับศัตรูของแผ่นดิน เช่น การเป็นไส้ศึก หรือให้การช่วยเหลือแก่ข้าศึก จะต้องได้รับโทษประหารชีวิต และรวมไปถึงการลงโทษแบบ “เจ็ดชั่วโคตร” ด้วย
วิธีการประหาร ตามที่บันทึกไว้ในกฎหมายโบราณ อาจมีทั้งการตัดศีรษะหรือการกระทำที่มีความพิสดารอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่มักใช้เพื่อสร้างความหวาดกลัว มากกว่าจะมีการปฏิบัติจริง
นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษที่เรียกว่า “ประหารหมดทั้งโคตร” คือการลงโทษตลอดทั้งสายตระกูล ไม่จำกัดจำนวนชั่วโคตร ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดในระบบกฎหมายของไทยสมัยโบราณ
สรุป บทลงโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรสะท้อนถึงอำนาจของกฎหมายในอดีตที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมประชาชนในลักษณะเด็ดขาด และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและพระมหากษัตริย์อย่างเคร่งครัดในยุคโบราณ ทั้งยังเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ควรศึกษา เพื่อเข้าใจบริบทสังคมและกฎหมายของไทยในแต่ละยุคสมัยได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น






