รีวิวหนังสือ ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว
คนกระทำเขาคงไม่มาเก็บมาคิด มารู้สึกเหมือนอย่างคนถูกกระทำหรอก เราเจ็บแค้น เราเสียใจ เราอยากเอาคืนมันก็เท่านั้น เราทำอะไรไม่ได้นอกจากการปล่อยวาง และในขณะที่เราเจ็บแค้น คนที่กระทำไม่ดีต่อเราอาจจะใช้ชีวิตเป็นปกติสุข นั่งกินไอศกรีมอย่างมีความสุขก็ได้ สุดท้ายเราเองนั่นแหละที่เจ็บใจไปโดยเปล่าประโยชน์
Jam นามแฝงผู้เขียนชาวญี่ปุ่นจะมาให้แนวคิดถึงประเด็นดังกล่าว เราจะได้ตาสว่างถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าจะจัดการตัวเองต่ออย่างไรดี ?
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
1.ตอนที่คิดจะลาออกจากงาน คุณย่อมจะได้เจอกับความยากลำบากและต้องหางานใหม่ แต่ถ้าคุณหลุดนั้นจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่เห็นจนชินตา คุณก็จะได้เห็นโลกใบใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะไม่มีวันได้เห็นหากยังคงนั่งอยู่ในรถไฟขบวนเดิมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางชีวิตหรือสายรถไฟ คุณก็สามารถเลือกจุดหมายปลายทางได้ด้วยตัวเอง และเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา
2.บางครั้งการหยุดพักก็ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ต่อให้เจอเรื่องที่ควรทำแล้ว แต่ถ้าไม่ทำมันเดี๋ยวนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำมันตอนนี้หรือถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร คุณก็ไม่จำเป็นต้องค้นหามันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะเมื่อถึงเวลาคุณก็จะรู้ได้เอง ตอนที่มีเวลาว่าง เราไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา
3.ถ้าเป็นคนที่ไม่อยากเห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจริงๆละก็ พอเห็นโพสต์แบบนั้นก็คงจะเลื่อนผ่านไปในทันที ส่วนคนที่ยังดูอยู่นั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้สึกต่อต้านการโอ้อวด แต่ในขณะเดียวกันก็ปรารถนาจะเป็นแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายโอ้อวด เช่นกัน
4.ไม่มีงานไหนที่เราไม่สามารถลาออกได้หรอก เพียงแต่มันทำได้ “ไม่ง่าย” เท่านั้นเอง เมื่อเราทำตามขั้นตอน บริษัทไม่มีสิทธิ์ห้ามเราไม่ให้ลาออก ถึงการหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเราไม่ตั้งเงื่อนไขมากนัก ก็น่าจะพอหางานทำได้
5.ต่อให้เราอดทนกับเรื่องที่ไม่จำเป็น เราก็ไม่ได้รับค่าแรงเพิ่มเติมจากการอดทน” อยู่ดี ถ้าเราฝืนอดทน จนวันหนึ่งสภาพจิตใจรับไม่ไหว และทำงานไม่ได้ขึ้นมา สิ่งที่เราทำทั้งหมดก็สูญเปล่า ดังนั้น การปกป้องตัวเองก็ถือเป็นงานที่สำคัญเหมือนกัน
6.ถ้าเราพูดจาว่าร้ายคนอื่น จิตใต้สำนึกก็อาจจะติดว่านั่นเป็นสิ่งที่เราพูดกับตัวเอง เมื่อตำพูดแย่าถูกสะสมในจิตใจมากขึ้น มันจะกลายเป็นการบั่นทอนจิตใจตัวเองและทำให้รู้สึกเครียด
7.แทนที่จะเสียเวลาไปกับการอิจฉาคนอื่นที่มีความสุข ถ้าเราพยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง ก็น่าจะช่วยให้ตัวเรามีความสุขได้ง่ายขึ้น
8.คนที่มองว่าคนอื่น"อวดว่างานยุ่ง" มักจะมีความกังวลเรื่องงาน คนที่มองว่าคนอื่น "อวดว่ามีความสุข" มักจะรู้สึกไม่มั่นใจกับอนาคตของตัวเอง ส่วนคนที่ชอบดูโพสต์ของคนที่ชอบเอาแต่บ่น จริงๆแล้วตัวเองก็อยากบ่นบ้างเหมือนกัน
9.โลกของเรามีคนอยู่หลากหลายแบบ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับฟังเรื่องทุกข์ใจของคนอื่นได้ ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งคิดว่า"แค่เล่าก็สบายใจแล้ว" แต่อีกฝ่ายอาจรู้สึกว่า"แค่ได้ฟังก็แย่แล้ว"
10.การที่เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวขณะที่อยู่กับใครสักคนมากกว่าอยู่คนเดียวนั้น มันทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกว้าเหว่มากทีเดียว ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้เจอกัน เราควรจะสนใจมองคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า การทำเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนนั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากทีเดียว
11.คุณอาจจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายโพสต์โอ้อวดด้วย
ความรู้สึกเหนือกว่า แต่จริงๆ แล้วคนอื่นแค่โพสต์
ข้อความตามความพึงพอใจของตัวเอง เราก็มีสิทธิ์
ในการเลือกดูได้อย่างอิสระ ดังนั้น คุณสามารถเลือกที่จะไม่ดูสิ่งที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้
12.การคิดถึงเรื่องของคนที่ตัวเองไม่ชอบก็เหมือนกับการให้คนคนนั้นมาอาศัยอยู่ด้วยกัน และจ่ายค่าเช่าบ้านให้เขาด้วย“เราจะจ่ายค่าเช่าเพื่อให้กองขยะอยู่ในบ้าน หรือ เราจะยกพื้นที่ในบ้านให้คนที่เราไม่ชอบอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่ จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือ
13.ถ้าเราหักโหมทำงานจนล้มป่วยหรือเสียชีวิตไป บริษัทก็ไม่สามารถคืนสุขภาพหรือชีวิตให้เราได้หรอก
14.ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องที่เราสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆนั้นมีอยู่ไม่มาก
15.คนที่ปรารถนาดีต่อเราจริงๆจะไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทน ถ้าเราต้องการให้อีกฝ่ายตอบแทนบุญคุณก็แสดงว่าเราทำไปเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำเพื่ออีกฝ่าย
16.คนที่มาทวงบุญคุณทีหลังก็เหมือนกับ Application ใช้ฟรีแบบเงื่อนไขนั่นแหละ เวลาจะทำอะไรสักอย่างเพื่ออีกฝ่าย ทางที่ดีเราควรคิดว่า"ช่วยเพราะอยากช่วย" ไม่ใช่เพราะคิดว่า"อุตส่าห์ช่วย"จะดีกว่า
17.เราไม่สามารถบอกได้ว่าระหว่างคนที่ระบายความในใจกับคนที่รับฟัง ใครรู้สึกทุกข์ใจมากกว่ากัน ในเมื่อคนที่อยากเล่าเรื่องทุกข์ใจสามารถเลือกคนที่จะมารับฟังได้ ฝ่ายที่ต้องรับฟังก็น่าจะเลือกได้เหมือนกันว่าจะรับฟังหรือไม่
18.ไม่มีสิ่งไหนเลวร้ายไปกว่า การนินทาว่าร้ายคนอื่นอีกแล้ว คำพูดแย่ๆ ที่พูดออกไปนั้นไม่นานก็จะย้อนกลับมาหาตัวเราทั้งหมด เหมือนกับลูกบอลที่เราโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วร่วงลงมาใส่หัวเขา
ดังนั้น หากโกรธจนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ การออกไปวิ่งออกกำลังกาย หรือไปร้องคาราโอเกะ น่าจะดีกว่า
19.เราจะรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือส่งเสียงออกมา วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เราหายใจออกได้มากขึ้น อาจทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ระบายความรู้สึกแย่ๆ ออกมาด้วยก็เป็นได้ ดังนั้น การสั่งหรือร้องเพลงน่าจะช่วยให้รู้สึกสบายใจได้มากกว่า การนินทาว่าร้ายคนอื่น
20.ที่มีอำนาจในที่ทำงาน ถ้าไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงละก็..เมื่อก้าวออกจากบริษัท เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น หากเราคิดว่า “คนคนนี้วางมาดใหญ่โตได้แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ เมื่อคิดแบบนี้แล้วมุมมองและวิธีรับมือกับอีกฝ่ายก็จะเปลี่ยนแปลงไป













