เพจดัง วิเคราะห์ขาดคดี “ไฮโซเก๊หลอกหมอ”
เมื่อเพจ CSI LA ออกมา วิเคราะห์คดี “ไฮโซเก๊หลอกหมอ”
แอดขอวิเคราะห์คดี “ไฮโซเก๊หลอกหมอ” นี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่มีความซับซ้อน ทั้งด้านจิตวิทยา การวางแผน
1. การเลือกเหยื่ออย่างมีแบบแผน
นายฮอตเลือกเหยื่อที่มีลักษณะดังนี้:
• มีฐานะ: เป็นหมอ มีรายได้สูง
• มีจุดอ่อนทางอารมณ์และเวลา: ผู้หญิงที่อายุมากกว่า อาจมีความเหงา ไม่มีเวลาศึกษาเรื่องการเงิน-กฎหมาย
• ไม่ทันโลก: มีความเก่งเฉพาะทาง (การแพทย์) แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากคนโกง
กลุ่มเหยื่อแบบนี้มักเชื่อคนง่าย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายแสดงความ “รัก” หรือ “ดูแล” ทำให้มิจฉาชีพใช้เล่ห์กลทางอารมณ์ควบคู่กับการหลอกเรื่องเงิน
2. การสร้างสถานการณ์ทางการเงินเทียม
นายฮอตรู้ว่าหมอมีปัญหาเรื่องกฎหมาย เลยถือโอกาสสร้างเรื่อง “ค่าธุรกรรม / ค่าปรับ / ค่าทนาย” ซึ่งดูสมจริงและมีตรรกะสำหรับคนที่ไม่ชำนาญด้านกฎหมาย
• ขอครั้งละหลักแสนถึงหลักล้าน
• เสริมด้วยการสร้างความเร่งด่วน เช่น “ศาลจะยึดทรัพย์” “ต้องใช้ทนายด่วน” ฯลฯ
นี่คือเทคนิค Social Engineering แบบ High-Level ใช้ความสัมพันธ์กึ่งโรแมนติก + ความน่าเชื่อถือ + ความเร่งด่วนเพื่อเร่งเหยื่อตัดสินใจ
3. การบิดเบือนความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับบุคคลที่สาม
• กล่าวหาว่า “ทนายโกง” และ “ทนายไม่ชอบคุณ เพราะคุณไม่จ้างเขา”
• ทำให้หมอ “ไม่กล้าสื่อสาร” กับทนายโดยตรง
• ทำให้ฝ่ายหมอรู้สึกว่า “ต้องพึ่งนายฮอตคนเดียว”
นี่เป็นการ ตัดช่องทางความจริง เหยื่อจะถูกกักให้อยู่ในความสัมพันธ์แบบ “ทางเดียว” คือรับข้อมูลจากคนร้ายอย่างเดียว ซึ่งเป็นเทคนิคระดับจิตวิทยาขั้นสูงของนักโกงมืออาชีพ
4. การสร้างภาพลักษณ์ด้วย “ทรัพย์สินปลอม”
• ใส่ ทองปลอม / นาฬิกาหรูปลอม มีเงินฝากในบัญชี นับร้อยล้านเพื่อหลอกว่าเป็นไฮโซตัวจริง
• นั่งรถหรู (เช่า/ยืม), ถ่ายรูปกับสถานที่หรู, ทำตัวรู้จักคนดังในวงสังคม
เทคนิคนี้เรียกว่า “Affluence Mirage” – ใช้ภาพลักษณ์รวยลวงตา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ดึงดูดเหยื่อให้เชื่อว่า “เขาต้องไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแน่นอน”
เหยื่อจึงไม่ระวังใจเวลาถูกขอเงิน เพราะคิดว่า “เขาคงคืนให้ได้”
5. การแอบอ้าง “เบื้องสูง” หรือผู้มีอำนาจ
• กล่าวอ้างว่ารู้จักหรือมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูง เช่น คนในสถาบัน ทหารใหญ่ หรือรัฐมนตรี
• ใช้ชื่อบุคคลจริง หรือระดับยศสูง สร้างความกลัวหรือศรัทธา
เป็นเทคนิค “อ้างอิงอำนาจเพื่อปิดปากเหยื่อ”
เหยื่อจะรู้สึกว่าไม่กล้าสืบ ไม่กล้าถาม ไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวมี “ผู้มีอำนาจหนุนหลัง”
บางรายอาจเชื่อจริงๆ ว่า ถ้าขัดใจหรือแจ้งความจะมีอันตราย
6. การควบคุมอารมณ์เหยื่อ
• สลับบทเป็นคนดี / เหยื่อ / ผู้มีอำนาจ / คนมีเส้น / คนเจ็บปวด เพื่อบีบเหยื่อในสถานการณ์ต่างๆ
• บางช่วง “พูดจาหวาน” หรือ “วางแผนอนาคตร่วมกัน” เพื่อปลูกความหวัง
• บางช่วง “ขู่” หรือ “กล่าวหาว่าไม่รัก / ไม่ไว้ใจ” เพื่อสร้างแรงกดดันทางอารมณ์
เป็นพฤติกรรมคล้าย “Emotional Manipulation + Gaslighting” ทำให้เหยื่อสับสน ไม่แน่ใจในความผิดของตัวเอง และกลัวจะเสียเขาไป
สรุป:
คดีนี้สะท้อนว่า แม้จะเป็นคนมีความรู้ ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ หากเจอมิจฉาชีพที่วางแผนแนบเนียน สร้างโปรไฟล์ดูดี ตีสนิทไว อ้างความสัมพันธ์กับคนมีอำนาจ และโชว์หลักฐานปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง
อย่าเชื่อคำหวานหรือภาพลักษณ์หรูเพียงผิวเผิน
ควรตรวจสอบพื้นฐานของคนที่เข้ามาในชีวิต เช่น ค้นชื่อ ดูประวัติ หรือปรึกษาคนรอบข้าง
หากพบพฤติกรรมแปลกหลายข้อพร้อมกัน — ถอยทันที
เพราะบางครั้ง ความหวานที่ดูจริง อาจมีพิษซ่อนอยู่ และเราอาจต้องเสียทั้งเงินและหัวใจโดยไม่รู้ตัว
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/photo?fbid=1185698989606046&set=pcb.1185707652938513
รายการโหนกระแส




















