รีวิวหนังสือ 100 นิสัยไม่เป็นคนหัวร้อน
อาการหัวร้อนเกิดขึ้นได้กับทุกคน เวลาโกรธมันก็ควบคุมตัวเองยาก พออารมณ์เย็นลงหน่อยก็ค่อยมานึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หลายคนก็ไม่ได้พอใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้
เทคนิคจิตวิทยาที่ช่วยให้เราไม่เป็นคนหัวร้อนโดยผู้เขียนชาวญี่ปุ่น : โทดะ คูมิ จะมาให้แนวทางดังกล่าวเอื้อให้เกิด 100 นิสัยไม่ให้เป็นคนหัวร้อน แปลโดย ณัฐกฤตา เพ็ญกุล
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
1."เวลารู้สึกไม่ปลอดภัย มนุษย์จะใช้ความโกรธเป็นเครื่องมือในการรับมือกับสถานการณ์ จึงพูดได้ว่าความโกรธคืออารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้องการปกป้องตัวเอง เช่น เวลาที่กำลังเดินลงบันไดในสถานีรถไฟแล้วถูกคนวิ่งชนเกือบตกบันได ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกโกรธทั้งนั้น ถ้ารู้สึกโกรธขึ้นมา ให้ลองเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังให้ความสำคัญกับตัวเอง"
2.ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ เราก็จะสามารถเปลี่ยนความโกรธให้เป็นสิ่งกระตุ้นในการลงมือทำหรือเป็นตัวช่วยในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ คนที่จัดการความโกรธได้คือคนที่สามารถนำความโกรธมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
3."เวลาที่รู้สึกโกรธหรือรู้สึกหงุดหงิด คนเราจะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งมีหน้าที่ทำร่างกายตื่นตัว ดังนั้น ถ้าอยากใจเย็นลง คุณต้องกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติกซึ่งมีหน้าที่ผ่อนคลายร่างกายแทน วิธีที่แนะนำคือการฝึกหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกช้าๆ โดยให้หายใจเข้าประมาณ 4 วินาที และหายใจออกประมาณ 8 วินาที ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาสัก 2-3 นาที คุณก็จะใจเย็นลงและไม่โกรธจนขาดสติ"
4."การออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้ช่วยให้หายเครียด การออกกำลังกายเบาๆ ต่างหากที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดและดีต่อสุขภาพ อย่างการเดินหรือการว่ายน้ำเองก็ส่งผลให้สมองหลั่งสาร 'เอ็นดอร์ฟิน' และ 'เซโรโทนิน' ซึ่งช่วยในการบรรเทาความเครียดออกมาด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้สึกผ่อนคลายได้ยากขึ้น"
5.การเข้าใจธรรมชาติของความโกรธอย่างถ่องแท้และจัดการกับความโกรธอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราเติบโตขึ้น ดังนั้น ถ้าตอนไหนรู้สึกโกรธขึ้นมาก็ลองเปลี่ยนความโกรธให้เป็นแรงจูงใจ
6.การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมช่วยให้จิตใจสงบ ไม่ว่าจะเป็นแอโรบิกหรือการยืดกล้ามเนื้อก็ช่วยจัดการกับความเครียด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความโกรธได้เป็นอย่างดี
7.จิตใจผ่อนคลายจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อนอนหลับเพียงพอ ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนนอนแทนที่จะนึกถึงเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด เราควรเปลี่ยนไปนึกถึงเรื่องดีๆหรือเรื่องที่ทำให้ดีใจมากกว่า เพราะการทำแบบนั้นไม่เพียงช่วยให้นอนหลับสบาย แต่ยังทำให้เราตื่นเช้ามาพร้อมความรู้สึกที่ดีด้วย
8.แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ถูกใจไปทั้งหมด แต่หากสามารถคิดได้ว่า"ไม่เหมือนที่ต้องการซะทีเดียว แต่ได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว" "ขัดใจนิดหน่อยแต่ช่างมันเถอะ" เราจะไม่ถูกความโกรธครอบงำง่ายๆอีกต่อไป ดังนั้น ถ้าเจอเรื่องที่ยอมรับไม่ได้แล้วหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ลองถามตัวเองว่า"เรื่องนี้มันยอมรับไม่ได้จริงๆเหรอ"
9.เพราะแต่ละคนมีค่านิยมแตกต่างกัน เรื่องธรรมดาของตัวเองกับเรื่องธรรมดาของคนอื่นจึงไม่เหมือนกัน ถ้าปักใจเชื่อมากเกินไปว่าเรื่องธรรมดาของตัวเองคือบรรทัดฐานที่ถูกต้อง เมื่อไม่เป็นไปตามที่คิด เราก็จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
10.ยิ่งเรายัดเยียดความคิดของตัวเองให้กับคนอื่น ไม่เพียงความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายจะยิ่งแย่ลงเท่านั้น แต่ตัวเราเองก็จะยิ่งหัวร้อนมากขึ้นด้วย
11.การที่คนเราแตกต่างกันต่างหากคือเรื่องธรรมดาที่แท้จริง ไม่มีใครคิดเหมือนกันหรอก เวลาที่นึกถึงคำว่า"เรื่องธรรมดา" "เรื่องทั่วไป""เรื่องปกติ" ให้เราหยุดคิดสักนิดว่า"เรื่องธรรมดาของเราอาจไม่ใช่เรื่องของคนอื่น"ก็ได้
12.สมองเป็นอวัยวะที่เกลียด การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด ค่านิยม หรืออะไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยการใช้พลังงาน สมองในปริมาณมาก ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง คุณจึงเกิดความคิดเชิงลบขึ้นมาในทำนองว่า "อาจทำได้ไม่ดีก็ได้ ” หรือ “ต้องทำพลาดแน่ๆ" และ รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ก้าวไปข้างหน้าสักที
13.ความโกรธ คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ “ความคาดหวัง หรือ “ความต้องการ ” ไม่เป็นไปตามที่คิด ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยาก รู้สึกหงุดหงิด ก็ให้คิดว่า ความโกรธ ไม่ใช่“เรื่องไม่ดี” แต่เป็นเรื่องที่ต้องบอกออกไปแทน การบอกความรู้สึก หรือ ความต้องการ กับ อีกฝ่ายตรงๆจะช่วยให้ความหงุดหงิดน้อยลงเอง
14.เวลาที่ถูกคนนอกครอบครัวถามเรื่องที่ไม่ค่อยอยากตอบอย่าง “ ครอบครัว มีรายได้เท่าไหร่
“ลูกเข้าเรียนที่ไหน” คุณต้องลอง ตอบกลับไปว่า
" ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ทุกคนก็พยายามทำงานกันเต็มที่นะ หรือ “ ให้ไปเรียนที่ที่อยากเรียนน่ะ"เพื่อเลี่ยงการตอบคำถามได้
15.ถ้าไม่อยากหงุดหงิดที่ตัวเองกลัวการเปลี่ยนแปลง การบอกกับตัวเองว่าเรื่องนั้นช่างมันก่อน อาจไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ คือวิธีหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ลองใช้วิธีเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง
16.ในการพูดปฏิเสธให้เริ่มจากขอบคุณหรือขอโทษก่อน จากนั้นค่อยต่อด้วยเหตุผลที่ปฏิเสธหรือเราจะเสนอตัวเลือกอื่นให้แทนก็ได้ เมื่อทำตามนี้บทสนทนาจะจบลงอย่างราบรื่น
17.การถามว่าทำไมไปเรื่อยๆจะทำให้เราและอีกฝ่ายหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆจนบรรยากาศยิ่งเลวร้ายลงแนะนำว่าควรเปลี่ยนไปใช้คำว่า"แล้วยังไงต่อ"แทน แล้วอีกฝ่ายจะเริ่มมองไปยังอนาคตข้างหน้าและคิดหาวิธีแก้ปัญหาออกในที่สุด
18.ถ้าอยากกระตุ้นการทำงานของอีกฝ่าย เราต้องให้เหตุผลลงไป เพราะมนุษย์จะลงมือทำอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อรู้ว่าทำไมต้องทำ การบอกเหตุผลที่จำเป็นตั้งแต่แรกจะช่วยลดการโต้เถียงหรือการโกรธกันโดยไม่จำเป็น
19.มนุษย์จะรู้สึกสนิทสนมและใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากขึ้นด้วยการพึ่งพาหรือขอร้องคนอื่นไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอของตัวเอง แต่เป็นการกระชับความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่างหาก ลองเอ่ยปากขอความช่วยเหลือบ้างแล้วเราจะสนิทสนมกับคนรอบข้างมากขึ้น แถมไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไปจนต้องมานั่งหงุดหงิดอีกด้วย
20.ในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อแข่งขัน แต่เพื่อหาข้อสรุปหรือวิธีแก้ปัญหา ดังนั้น หากเรามีแนวโน้มพูดเอาชนะก็ให้เปลี่ยนการพูดเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เราจะไม่มาหงุดหงิดง่ายๆหากไม่สนเรื่องแพ้ชนะ
21.ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ก็ไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนแปลงอีกฝ่าย แค่เปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองเปลี่ยนวิธีคุย เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ก็ช่วยแก้ปัญหาโดยไม่ต้องโกรธกันแล้ว
22.ถ้าอยากให้วันนั้นอารมณ์ดี ต้องตื่นมาเก็บที่นอนในตอนเช้า เพราะแค่ได้ทำอะไรสำเร็จในเช้าวันใหม่ เราก็จะมีแรงใช้ชีวิตในวันนั้นอย่างเต็มที่แล้ว
23.สภาพภายในกระเป๋าเป็นเหมือนภายในสะท้อนภายในจิตใจของคุณ ดังนั้น เวลาที่รู้สึกหงุดหงิด คุณจึงควรจัดระเบียบกระเป๋าเพื่อจัดระเบียบจิตใจของตัวเองไปด้วย เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วลองนำของในกระเป๋าออกมาจัดระเบียบใหม่ดู ” อีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยรักษาความสะอาด ของกระเป๋า คือ การใช้กระเป๋า หลายใบสลับกัน เพราะการใช้กระเป๋าแค่ใบเดียวจะทำให้คุณเผลอเพิ่มของที่ไม่จําเป็นลงไปในกระเป๋า เรื่อยๆ
24.หากคุณปฏิบัติตัวดี อีกฝ่ายก็จะปฏิบัติตัวดี ตอบเช่นกัน ความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นไปได้อย่างราบรื่น ขอแค่ชีวิต 1 วันของคุณก็จะเต็มไปด้วยความรู้สึกดี และไม่มีเรื่องให้หงุดหงิด มาเริ่มจากการบอกตัวเองว่าจะปฏิบัติตัวอย่างสุภาพ เป็นเวลา 24 ชม. กันเถอะ ลองเปลี่ยนวิธีเข้าหาคนอื่น หรือเปลี่ยน คำพูดที่ใช้ดูบ้าง ถ้าคุณปฏิบัติตัวเหมือนว่าวันนี้เป็นวันที่ดีขึ้นมาจริงๆ












