ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) สำคัญอย่างไร แนวทางการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ
ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) คือ ความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของผู้อื่น “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” โดยไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ความเห็นอกเห็นใจเป็นพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อและความเมตตาต่อคนรอบข้าง ช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวดีขึ้น สามารถนำไปปรับใช้ได้กับหลายบริท และหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
ความสำคัญของความเห็นอกเห็นใจ
- สร้างความสัมพันธ์อันดี ความเห็นอกเห็นใจ ช่วยให้เข้าใจมุมมองและความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง ช่วยคลี่คลายปัญหาได้ด้วยดี ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพื่อน คนที่ทำงาน คนในชุมชนหรือสังคม
- ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ตัวเอง และป้องกันภาวะหมดไฟ ช่วยในการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเอง แม้ในช่วงเวลาที่มีความเครียดสูง ช่วยให้เกิดการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยป้องกันภาวะหมดไฟ (Burnout) ได้
- ช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้อง คนที่มีความเห็นอกเห็นใจ จะมีความตระหนักรู้ในตัวเองสูง ระมัดระวังไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้อื่น อย่างเช่น ไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ อย่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด หรือตัดสินใจว่าจะไม่รบกวนคนรักหากเขากำลังมีปัญหาที่ต้องจัดการ
- กระตุ้นการช่วยเหลือผู้อื่น คนที่เห็นอกเห็นใจมักจะหยิบยื่นความช่วยเหลือเมื่อเห็นคนที่ลำบาก จึงช่วยเหลือคนรอบตัวบ่อย ๆ อย่างเช่น ช่วยเพื่อนที่กำลังมีปัญหาเรื่องงาน หรือช่วยบริจาคเงินและของใช้ให้ผู้ประสบภัย เป็นต้น
- ลดการแบ่งแยกและความขัดแย้งในสังคม ความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยป้องกันการเกิดอคติและการแบ่งแยกของคนในสังคม อย่างเช่น การบูลลี่ (Bully) ทั้งต่อหน้าและในโลกออนไลน์ รวมถึงการเหยียดทางเชื้อชาติและสีผิว
ประเภทของความเห็นอกเห็นใจ แบ่งเป็น 3 ประเภท
1.ความเห็นอกเห็นใจในเชิงความคิด (Cognitive Empathy) คือ การเข้าใจความคิดและอารมณ์ของอีกฝ่ายอย่างเป็นเหตุเป็นผล มากกว่าโดยใช้อารมณ์เป็นเครื่องวัด รวมถึงรู้และเข้าใจ ว่าอีกฝ่ายกำลังเจอกับอะไรอยู่
อย่างเช่น เมื่อเพื่อนผิดหวังในความรัก หรือตกงานกะทันหัน เราสามารถคาดเดาและมองออกว่าเพื่อนจะรู้สึกเสียใจ เศร้า และโมโห ซึ่งไม่จำเป็นว่าเราจะต้องรู้สึกเช่นเดียวกันกับเพื่อน
2.ความเห็นอกเห็นใจในเชิงความรู้สึก (Affective/ Emotional Empathy) คือ การที่พยายามจะรู้สึก ในแบบที่อีกฝ่ายรู้สึก เหมือนกับว่าเอาความรู้สึกของเขามาอยู่ในใจของเราจริง ๆ
อย่างเช่น ยิ้มหรือหัวเราะตามเมื่อเห็นญาติพี่น้องมีความสุข หรือเสียใจเมื่อรู้ว่าเพื่อนสูญเสียคนที่รักไป บางคนที่มีความเห็นอกเห็นใจประเภทนี้อาจมีอาการทางร่างกายด้วย อย่างเช่น เจ็บหน้าอก ปวดท้อง เมื่อรู้สึกเศร้าเสียใจกับเพื่อนมาก
3.ความเห็นอกเห็นใจในเชิงความปรารถนาดี (Compassionate Empathy/ Empathetic Concern) การเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย และเริ่มที่จะเข้าไปช่วยเหลือ หรือทำบางสิ่งที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น จะนำไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างเช่น บริจาคเงินช่วยคนที่ลำบากจากน้ำท่วม หรือจอดรถลงไปช่วยคนที่หกล้มอยู่
เทคนิคฝึกความเห็นอกเห็นใจด้วยตัวเอง
- ฝึกสังเกตคนรอบข้างว่าเขาทำอะไรอยู่ ลองเดาว่าเขามีความคิดหรือความรู้สึกอย่างไร แล้วลองเปรียบเทียบว่าหากเป็นตัวเราเองจะรู้สึกอย่างไร และหากเขาประสบปัญหา เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร
- แสดงความสนใจผู้คนรอบตัวให้มากขึ้น อาจชวนคุยเรื่องที่รู้สึกสนใจ จะช่วยให้เรารับรู้เรื่องราวของคนอื่นเพิ่มขึ้น และนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจในเรื่องราวเหล่านั้น
- ตั้งใจฟังเรื่องราวของผู้อื่น สบตา และ พยักหน้าตามให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราใส่ใจเรื่องราวของเขา ไม่ทำอย่างอื่นไปด้วยขณะที่ฟัง ไม่พูดแทรก หรือใช้ความคิดของตัวเองในการตัดสินคนอื่น
- หมั่นสังเกตท่าทางของคนอื่น บางครั้งคนรอบข้างที่เผชิญปัญหาอยู่อาจไม่ได้บอกเล่าออกมาเป็นคำพูด การสังเกตสีหน้าสายตา หรือท่าทาง เป็นอีกวิธีที่ช่วยฝึกให้เรามี Empathy มากขึ้น
- ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างผู้คน ใจดีกับผู้อื่นให้มากขึ้น ไม่ใช้อคติหรือความคิดเห็นส่วนตัวไปตัดสินหรือเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือในโซเชียลมีเดีย
- เชื่อใจผู้อื่นและแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปบ้าง บอกเล่าความไม่สบายใจและปรึกษาปัญหากับคนรอบข้างที่เราไว้ใจ การได้รับความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือจากคนอื่น จะช่วยให้เราอยากแสดงความเห็นอกเห็นใจกลับไปเช่นกัน
- เข้าร่วมกิจกรรมที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อย่างเช่น บริจาคเงินหรือสิ่งของให้องค์กรการกุศล เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กกำพร้า

