เด็กเกาหลีใต้ถูกยัดเยียด ให้เรียนหนังสือ แต่สอบตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
ในห้องเรียนที่มีแสงสว่างสดใส ในย่านแทชีดงของโซล "ทอมมี่" เด็กวัย 4 ขวบ กำลังจับดินสอด้วยมือเล็กๆของเขา เขาสั่นเล็กน้อย และ เท้าของเขาห้อยลงมาจากเจ้าอี้อ เพราะขายังไม่แตะพื้น แม่ของเขาและคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจ ในขณะที่ลูกของเธอทำข้อสอบเสร็จ โดยข้อสอบสำหรับเด็ก 4 ขวบ จะเป็นการอ่านข้อความภาษาอังกฤษ และ ตอบคำถามเกี่ยวกับความเข้าใจ และ การอนุมาน หรือ เขียนเรียงความ 5 ย่อหน้าให้สมบูรณ์ แบบภายในเวลา 15 นาที
ซึ่งเดิมพันการสอบนั้นสูง และ มีความกดดันมากจริงๆ นี่ไม่ใช่บทเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนธรรมดาๆ แต่เป็นการสอบสำหรับเด็ก 4 ขวบ ซึ่งเป็นการสอบสำหรับพ่อแม่ที่คิดจะให้ลูกทะเยอทะยาน เพื่อใช้ฐานะดังกล่าวในการเย้ยป้าข้างบ้าน
ย่านแทชีดง ซึ่งตั้งอยู่ในคังนัมกู เป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดของกรุงโซล มักถูกเรียกว่าเมืองหลวงแห่งการศึกษาของเกาหลีใต้ เขตนี้ขึ้นชื่อในเรื่องวัฒนธรรมทางวิชาการ ที่ไม่หยุดนิ่งและเส้นขอบฟ้าที่เต็มไปด้วย โรงเรียนกวดวิชาเอกชน ปัจจุบันเขตนี้ได้ขยายการเข้าถึงไปยังเด็กที่อายุยังน้อย ซึ่งพอที่จะจับดินสอได้ พ่อแม่อย่างของ "ทอมมี่" เอง ก็บังคับให้เขาเรียนตั้งแต่เด็ก เพื่อเตรียมพร้อมก่อนที่เขาจะอายุ 4 ขวบ โดยสอนภาษาอังกฤษเป็นหลัก เนื่องจากภาษาเกาหลีไม่มีความจำเป็น สำหรับประเทศนี้แล้ว
โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ในกรุงโซล ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยเด็กทุกคนที่คิดจะเรียนหนังสือ จะต้องพูดภาษาอังกฤษพื้นฐานได้ ซึ่งหากเด็กเหล่านั้นพูดอังกฤษได้ มันจะเป็นก้าวแรกในการสร้างความสำเร็จ ด้านการศึกษาในอนาคตของพวกเขา โดยงานต่างๆที่มีในประเทศ เช่นงานภาครัฐ ก็เปลี่ยนจากการใช้ภาษาเกาหลี มาเป็นภาษาอังกฤษหมดแล้ว
แม่คนหนึ่ง ที่ลูกของเธออายุ 7 ขวบ กล่าวว่า "การเข้าเรียนถือเป็นกุญแจสำคัญ สู่การพูดภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแข่งขัน เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศ" และ "หากเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำได้ ไม่ว่าจะจบแค่ม.ปลาย บริษัททุกแห่งก็อ้าแขนรับทั้งนั้น"
ที่ปรึกษาของโรงเรียนเอกชน กล่าวว่า "ฉันอยู่แถวนี้มา 20 กว่าปีแล้ว ในฐานะแม่และปัจจุบันทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ฉันรู้เรื่องนี้ดี" และ "ตราบใดที่ความสำเร็จทางวิชาการ ยังกำหนดอนาคตของเด็กในเกาหลี การแข่งขันก็ยังคงดำเนินต่อไป" และ "การเริ่มเรียนหลังเกิดมาไม่นาน และ สอบครั้งแรกตอนอายุ 4 ขวบ มันเป็นเรื่องที่ดีต่ออนาคตของพวกเขา ซึ่งฉันคิดว่ามันคุ้มค่าต่อชีวิตของเด็กๆ"




















