โออิดิปัสกับปริศนาสฟิงซ์
บทที่ 1: คำพยากรณ์แห่งโชคชะตา
เสียงกลองศักดิ์สิทธิ์ดังก้องในพระวิหารแห่งเดลฟี ท่วงทำนองลึกลับกังวานไปทั่วโถงกว้าง กลิ่นกำยานลอยฟุ้งอบอวลในอากาศ บรรยากาศชวนให้รู้สึกถึงพลังแห่งเทพเจ้า วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินอ่อนขาวบริสุทธิ์ เสาสูงตระหง่านรับน้ำหนักหลังคาที่ประดับลวดลายทองคำและภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับมหาเทพทั้งสิบสองของโอลิมปัส กลางวิหารมีแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ สร้างจากหินที่เชื่อกันว่าเทพอพอลโลได้เลือกสรรไว้เอง ตั้งอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ของเทพพยากรณ์
โออิดิปัส คุกเข่าลงบนพื้นหินเย็นเยียบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดหวั่น แสงจากคบไฟที่ติดอยู่ตามผนังทำให้เงาของเขาสะท้อนอยู่บนพื้นหินราวกับเป็นภาพลางบอกเหตุแห่งโชคชะตา หัวใจของเขาเต้นแรง ขณะที่เขาจับจ้องไปยังร่างของเทพพยากรณ์ที่กำลังร่ายรำอยู่เหนือแท่นศักดิ์สิทธิ์
นางเป็นหญิงชรา ผมสีเงินยาวประบ่า ใบหน้าของนางมีริ้วรอยของกาลเวลา แต่ดวงตากลับเปล่งประกายราวกับมองเห็นอนาคต นางพึมพำถ้อยคำโบราณ เสียงของนางก้องสะท้อนไปทั่ววิหารราวกับไม่ได้มาจากปากของมนุษย์
“เจ้าคือผู้ถูกเลือกจากโชคชะตา” เทพพยากรณ์กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ ราวกับเป็นคำประกาศจากสวรรค์
โออิดิปัสกลืนน้ำลายลงคอ เขาพยายามทำใจให้มั่นคง ขณะที่เฝ้ารอฟังคำพยากรณ์ของตนเอง
“แต่คำทำนายของเจ้ากลับเต็มไปด้วยความเศร้า” นางกล่าวต่อ ดวงตาของนางเหม่อลอยราวกับกำลังมองเห็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น “เจ้าจะสังหารบิดาของตนเอง และแต่งงานกับมารดา”
เสียงของนางกรีดลึกเข้าไปในจิตใจของโออิดิปัส ร่างของเขาแข็งทื่อดั่งต้องมนต์ หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะหลุดออกจากอก เขาเบิกตากว้าง มองเทพพยากรณ์อย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้!” โออิดิปัสตะโกนออกมา เสียงของเขาดังก้องสะท้อนกับผนังหิน “ข้าไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้น”
เทพพยากรณ์ไม่ได้ตอบนางเพียงหลับตาลงและถอนหายใจ ราวกับรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีโชคชะตาของตนได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม
โออิดิปัสตัวสั่น ภาพในวัยเด็กของเขาพลันฉายขึ้นมาในห้วงความคิด เขาเติบโตขึ้นในพระราชวังแห่งโครินธ์ ได้รับความรักจากกษัตริย์โพลีบุสและราชินีเมโรพีซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ของเขา ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข แต่บัดนี้ คำพยากรณ์อันโหดร้ายกำลังทำลายทุกสิ่งที่เขาเคยเชื่อ
“ข้าไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น” โออิดิปัสประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ข้าจะหนีไปจากโครินธ์ ไปให้ไกลจากผู้ที่เลี้ยงดูข้า”
เขาหวังว่า การออกเดินทางจะช่วยให้เขาหลบหนีโชคชะตาได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจนี้จะนำพาเขาไปสู่เส้นทางที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
สายลมพัดผ่านพระวิหาร กลิ่นกำยานยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ เทพพยากรณ์มองดูโออิดิปัสเดินจากไป นางรู้ดีว่าไม่มีใครหนีพ้นโชคชะตาได้ ไม่ว่าจะหนีไปไกลเพียงใดก็ตาม นางหลับตาลงและพึมพำเบา ๆ
“แม้เจ้าจะเดินทางหนีไปไกลแค่ไหน... เจ้าก็ยังคงเดินเข้าสู่เส้นทางที่โชคชะตากำหนดไว้”
บทที่ 2: การเดินทางแห่งโชคชะตา
หลังจากออกจากพระวิหารเดลฟี โออิดิปัสก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาไม่หันหลังกลับ เพราะกลัวว่าถ้าเขาหันกลับไป เขาอาจเปลี่ยนใจกลับไปสู่โครินธ์ ที่ซึ่งพ่อแม่บุญธรรมของเขายังคงรอคอยโดยไม่รู้เลยว่าโชคชะตาอันโหดร้ายได้ถูกลิขิตไว้แล้ว
ถนนสายยาวทอดผ่านทิวเขาและที่ราบ เขาเดินผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนจับจ้องมองเขาด้วยความสงสัย ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินทางเพียงลำพังด้วยสีหน้าครุ่นคิดและแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นเจ้าชายจากโครินธ์ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังพยายามหลีกหนีโชคชะตาของตนเอง
ยามค่ำคืน โออิดิปัสตั้งค่ายพักในป่าใหญ่ ใต้เงาของต้นไม้สูงตระหง่าน แสงจันทร์พาดผ่านกิ่งไม้ทอประกายเงาจาง ๆ บนพื้น เสียงร้องของสัตว์ป่าดังก้องในความเงียบ มันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในพระราชวังที่โครินธ์ เขาเฝ้าจ้องเปลวไฟจากกองไฟที่ลุกไหว ครุ่นคิดถึงอนาคตที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเป็นเช่นไร
“ข้ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม?” เขาพึมพำกับตนเอง ดวงตาสะท้อนแสงไฟวูบไหว
รุ่งเช้า เขาออกเดินทางต่อไปด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เขาเชื่อว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงคำทำนายอันโหดร้ายได้ หากเพียงแต่เขาไปให้ไกลพอจากพ่อแม่ที่โครินธ์
จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา
หลายวันผ่านไป โออิดิปัสเดินทางมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง เส้นทางทอดยาวไปในหลายทิศทาง แต่เขาไม่รู้เลยว่าทางเลือกที่เขาจะเลือกเดินจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดไป
ที่กลางทางแยก มีขบวนรถม้าคันหนึ่งจอดขวางอยู่ รถม้าคันงามประดับด้วยทองและลวดลายแกะสลักอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของ ข้าราชบริพารหลายคนยืนอยู่รอบ ๆ และมองโออิดิปัสด้วยแววตาเย่อหยิ่ง
ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถม้า เขาสวมอาภรณ์หรูหราประดับด้วยสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอำนาจและความเย่อหยิ่ง เขามองโออิดิปัสราวกับเป็นเพียงฝุ่นธุลีที่ไม่มีค่า
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร จึงกล้ามาขวางข้า?” ชายชราตะโกนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ดวงตาของเขาจ้องมองโออิดิปัสอย่างไม่พอใจ
โออิดิปัสยืนหยัด ไม่หลบสายตา “ทางนี้เป็นทางของทุกคน ข้าก็มีสิทธิ์เดินทางเช่นกัน”
ข้าราชบริพารของชายชราหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าไม่รู้หรือว่านี่คือกษัตริย์ไลอัสแห่งธีบส์? ทางเส้นนี้เป็นของพระองค์ ผู้ที่อ่อนน้อมควรจะหลีกทางไป”
โออิดิปัสขมวดคิ้ว เขามิใช่คนที่จะยอมอ่อนข้อให้กับความโอหังของผู้มีอำนาจ “ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ใช้เส้นทางนี้ ข้ามิใช่ทาสที่จะก้มหัวให้ผู้ที่คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่น”
คำพูดของเขาทำให้กษัตริย์ไลอัสโกรธจัด พระองค์ชี้นิ้วสั่งให้ทหารเข้ามาผลักไสโออิดิปัสออกไป
แต่นั่นเป็นความผิดพลาดร้ายแรง—
โออิดิปัสมิใช่ชายธรรมดา เขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง เขาต่อสู้กลับด้วยพลังมหาศาล ทหารของไลอัสไม่สามารถรับมือกับเขาได้ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป โออิดิปัสคว้าหอกจากมือของหนึ่งในทหารและพุ่งเข้าใส่ชายชราโดยไม่ได้ตั้งใจ
หอกพุ่งทะลุร่างของกษัตริย์ไลอัส เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วพื้นที่ พระโลหิตสีแดงเข้มไหลรินลงบนพื้นดิน
โออิดิปัสมองดูร่างไร้วิญญาณของชายชราที่เขาสังหารลงไป เขาหายใจหนัก เหงื่อซึมเต็มใบหน้า เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วชายที่เขาฆ่าคือพ่อแท้ ๆ ของตนเอง
การเดินทางที่ยังคงดำเนินต่อไป
เลือดไหลนองพื้น ข้าราชบริพารที่รอดชีวิตวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าหยุดยั้งโออิดิปัส
เขายืนมองร่างของชายชราที่ไร้ลมหายใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี หัวใจของเขาหนักอึ้ง แต่เขาบอกตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำ นี่เป็นเพียงอีกเหตุการณ์หนึ่งในการเดินทางของเขา
โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขาทำในวันนี้ได้เติมเต็มคำทำนายอันโหดร้ายที่เขาพยายามหนีมาตลอด
เขาเดินจากไป ทิ้งร่างของกษัตริย์ไลอัสไว้เบื้องหลัง โดยที่เขาไม่เคยรู้ว่าเขาเพิ่งฆ่าบิดาผู้ให้กำเนิดของตนเอง
บทที่ 3: ปริศนาของสฟิงซ์
เมืองธีบส์ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงตระหง่าน ล้อมรอบด้วยกำแพงหินอันแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะป้องกันภัยจากภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น เมืองทั้งเมืองกลับตกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะมีเงาดำอันน่าสะพรึงกลัวทอดตัวเหนือประตูเมืองมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว
สิ่งที่ปกคลุมธีบส์ไว้ไม่ใช่สงคราม ไม่ใช่โรคร้าย แต่เป็นสัตว์ร้ายที่มีนามว่า สฟิงซ์—อสุรกายที่มีร่างกายเป็นสิงโต ปีกเป็นนกอินทรี และใบหน้าเป็นหญิงสาว นางเฝ้าประตูเมืองด้วยรอยยิ้มเย็นชา ดวงตาเรืองแสงของนางเต็มไปด้วยปริศนา และความตาย
“ไม่มีผู้ใดจะผ่านไปได้ เว้นแต่จะตอบคำถามของข้าให้ถูกต้อง” นางกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าแก่ผู้ที่พยายามเข้าหรือออกจากเมือง
หากใครตอบผิด นางจะฉีกกระชากร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินเป็นอาหาร ซากศพของนักเดินทางและผู้กล้าที่ยอมเสี่ยงดวงกองอยู่รอบเชิงกำแพง เมืองธีบส์จึงกลายเป็นสถานที่แห่งความสิ้นหวัง พ่อแม่ต้องสูญเสียบุตรที่พยายามท้าทายสฟิงซ์ ผู้คนหวาดกลัวที่จะเดินทางออกจากเมือง และไม่มีใครกล้าจะเผชิญหน้ากับนางอีกต่อไป
การเผชิญหน้ากับอสุรกาย
จนกระทั่งวันหนึ่ง โออิดิปัสเดินทางมาถึงเมืองธีบส์ เขาเห็นร่างไร้วิญญาณของผู้ที่ล้มเหลวในการไขปริศนากองอยู่รอบ ๆ ประตูเมือง หัวใจของเขาหนักอึ้งกับภาพอันโหดร้ายนี้
“ไม่มีใครสามารถเอาชนะนางได้เลยหรือ?” เขาถามชายชราคนหนึ่งที่ยืนมองภาพนั้นด้วยดวงตาอ่อนล้า
“ไม่มี” ชายชรากล่าวเสียงแผ่ว “นางฉลาดเกินไป ปริศนาของนางล้ำลึกเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ”
โออิดิปัสกำหมัดแน่น เขาไม่สามารถยอมรับความหวาดกลัวที่ปกคลุมผู้คนได้ หากไม่มีใครสามารถเอาชนะสฟิงซ์ได้ เช่นนั้นเขาจะเป็นผู้ที่ทำมันเอง
เขาก้าวเข้าไปใกล้กำแพงเมือง เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องท่ามกลางความเงียบงันของชาวเมือง ทุกสายตาจับจ้องเขาด้วยความหวาดหวั่นและความคาดหวัง
สฟิงซ์เงยหน้าขึ้นจากก้อนหินที่นางนั่งประจำ ดวงตาของนางจับจ้องโออิดิปัสด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าต้องการท้าทายข้าหรือ?” นางกล่าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ใช่” โออิดิปัสตอบกลับ ดวงตาของเขามุ่งมั่น
สฟิงซ์หัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้น ฟังให้ดี”
นางสูดลมหายใจเข้า และกล่าวด้วยเสียงที่เย็นเยียบราวกับสายลมหนาวแห่งหุบเขา
“สิ่งใดที่เดินด้วยสี่ขาในยามเช้า สองขาในยามกลางวัน และสามขาในยามเย็น?”
ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ดวงตาของชาวเมืองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีผู้ใดสามารถไขปริศนานี้ได้เลยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และพวกเขาไม่อยากเห็นชายหนุ่มผู้นี้ต้องพบจุดจบแบบเดียวกับผู้ที่มาก่อนหน้า
แต่โออิดิปัสกลับไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาไตร่ตรองปริศนาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ
“ข้ารู้คำตอบ” เขากล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
สฟิงซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ว่ามา”
โออิดิปัสจ้องมองนางตรง ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “มนุษย์”
เสียงพึมพำของชาวเมืองดังกระจายไปทั่ว ผู้คนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ในวัยทารก มนุษย์คลานด้วยสี่ขา เมื่อนางรุ่งเรืองในวัยผู้ใหญ่ นางเดินด้วยสองขา และเมื่อแก่เฒ่า นางใช้ไม้เท้าพยุงกายราวกับมีสามขา”
ความเงียบเข้าครอบงำทุกสิ่ง—แม้แต่สายลมยังดูเหมือนจะหยุดพัดไปชั่วขณะ ดวงตาของสฟิงซ์เบิกกว้าง นางอ้าปากค้างราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
นางลุกขึ้นยืน ขนสีทองของนางพริ้วไหวตามแรงลม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง และแล้ว เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ
สฟิงซ์สะบัดปีกและกระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้า นางบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะพุ่งดิ่งลงจากหน้าผาเบื้องล่าง ร่างของนางหายไปในหุบเขา ทิ้งไว้เพียงเสียงก้องสะท้อนของความพ่ายแพ้
วีรบุรุษของธีบส์
เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะดังก้องไปทั่วเมืองธีบส์ ประชาชนวิ่งออกมาจากบ้านเรือน พวกเขาตะโกนชื่อของโออิดิปัส ซาบซึ้งกับการที่เขาปลดปล่อยเมืองให้พ้นจากความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจพวกเขามาเนิ่นนาน
กษัตริย์แห่งธีบส์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และบัดนี้ ชาวเมืองต้องการผู้นำคนใหม่ พวกเขายกย่องโออิดิปัสเป็นกษัตริย์ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธะระหว่างเขากับเมือง พวกเขามอบพระราชินีโจคาสตาให้เป็นชายา
โออิดิปัสรับตำแหน่งโดยไม่รู้เลยว่าเขาได้เดินเข้าไปในเงื้อมมือของโชคชะตาอีกครั้งแล้ว—เพราะโจคาสตา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาเอง
บทที่ 4: ความจริงอันโหดร้าย
โออิดิปัสปกครองธีบส์อย่างชาญฉลาด บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ชาวเมืองต่างรักและเคารพเขา ภายใต้การนำของเขา กฎหมายได้รับการบังคับใช้อย่างเป็นธรรม การค้าขายรุ่งเรือง และพืชผลอุดมสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าธีบส์กำลังเข้าสู่ยุคทองของความสงบสุข
ทว่าเงามืดแห่งโชคชะตายังคงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง...
ภัยพิบัติแห่งธีบส์
วันหนึ่ง โรคร้ายระบาดไปทั่วเมือง เสียงไอของผู้ป่วยดังก้องในตรอกซอย เด็กทารกเกิดมาพร้อมความผิดปกติ และสัตว์เลี้ยงล้มตายเป็นจำนวนมาก ทุ่งนาที่เคยเขียวขจีกลับเหี่ยวเฉาอย่างไร้เหตุผล กลิ่นเหม็นเน่าของศพผู้ล้มตายโชยไปทั่ว ชาวเมืองเริ่มกระซิบถึงคำสาปที่อาจเป็นสาเหตุของหายนะครั้งนี้
วัดและศาลเจ้าของเทพเจ้าถูกคลุมด้วยธูปเทียน ผู้คนพากันสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเพื่อขอความเมตตา ทว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ความทุกข์ยากยังคงกัดกินธีบส์ทุกวัน
โออิดิปัสยืนอยู่บนระเบียงพระราชวัง มองลงไปยังเมืองของเขาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เสียงคร่ำครวญของประชาชนดังก้องขึ้นมาถึงพระราชวัง เขารู้ดีว่าตนเองต้องหาทางแก้ไข มิฉะนั้น เมืองที่เขาปกป้องไว้จะพังทลายลง
โจคาสตา พระราชินีของธีบส์ ยืนเคียงข้างเขา นางเองก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างถึงที่สุด นางจับแขนของโออิดิปัสเบา ๆ “เราต้องทำอะไรสักอย่าง มิฉะนั้น เราจะสูญเสียธีบส์ไป”
“เราต้องหาทางช่วยเมืองของเรา” โออิดิปัสกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าจะส่งคนไปปรึกษาเทพพยากรณ์ที่เดลฟี”
คำพยากรณ์ของอพอลโล
ไม่นานนัก ทูตของโออิดิปัสเดินทางกลับมาพร้อมกับคำตอบจากเทพพยากรณ์แห่งเดลฟี คำตอบนั้นทำให้ทั้งเมืองต้องตกอยู่ในความเงียบงัน
“ภัยพิบัติจะไม่สิ้นสุด จนกว่าฆาตกรของกษัตริย์ไลอัสจะถูกลงโทษ” เทพพยากรณ์ประกาศ
ทันทีที่ได้ยินคำทำนายนี้ ชาวเมืองเริ่มกระซิบกันอย่างตื่นตระหนก กษัตริย์ไลอัสถูกสังหารไปเมื่อหลายปีก่อน และยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ บัดนี้ ธีบส์ต้องเผชิญกับอดีตที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
โออิดิปัสขมวดคิ้ว เขายืนขึ้นต่อหน้าชาวเมือง ประกาศกร้าวว่า “ข้าสาบานต่อเทพเจ้า ข้าจะหาผู้กระทำผิด และนำเขามาลงโทษ เพื่อฟื้นคืนความสงบสุขแก่ธีบส์!”
ชาวเมืองต่างโห่ร้องด้วยความหวังว่าโออิดิปัสจะสามารถไขปริศนาแห่งอดีตและปลดปล่อยธีบส์จากคำสาปนี้ได้
การสืบหาฆาตกร
โออิดิปัสเริ่มการสืบสวนโดยเรียกตัว โครน เทพพยากรณ์อาวุโสของธีบส์มาพบกันที่พระราชวัง ดวงตาของโครนเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ราวกับเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“โครน เจ้าเป็นผู้มองเห็นอดีตและอนาคต จงบอกข้ามา ใครคือผู้ที่สังหารกษัตริย์ไลอัส?” โออิดิปัสถามด้วยเสียงจริงจัง
โครนก้มศีรษะหลบสายตา “ข้าไม่อาจกล่าวออกมาได้ ท่านกษัตริย์”
“เจ้ากลัวอะไร?” โออิดิปัสเร่งเร้า “พูดออกมา ข้าสั่ง!”
โครนถอนหายใจลึก ก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “ข้ารู้ว่าใครเป็นฆาตกร แต่ข้ากลัวว่าหากข้ากล่าวความจริง มันจะนำหายนะมาสู่ทุกคน”
โออิดิปัสจ้องเขม็ง “ข้าสั่งให้เจ้าพูด!”
โครนนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่าน... ก็คือฆาตกรนั้น”
คำพูดของโครนทำให้บรรยากาศภายในพระราชวังเงียบงัน ทุกสายตาหันไปมองโออิดิปัส ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” โออิดิปัสเอ่ยถาม เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“ท่านสังหารกษัตริย์ไลอัส... ผู้เป็นบิดาของท่านเอง” โครนกล่าว “และโจคาสตา... นางก็คือมารดาของท่าน”
โออิดิปัสรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้าเขา หัวใจของเขากระหน่ำเต้นราวกับจะระเบิดออกมา ภาพของชายชราที่เขาสังหารไปเมื่อหลายปีก่อนย้อนกลับมาในความคิด และมันตรงกับคำพยากรณ์ที่เขาได้รับตั้งแต่วัยเยาว์
เขาไม่เพียงแต่ฆ่าพ่อแท้ ๆ ของตนเองเท่านั้น แต่เขายังแต่งงานกับแม่ของเขาโดยไม่รู้ตัว...
โออิดิปัสทรุดตัวลงกับพื้น ความจริงอันโหดร้ายเปิดเผยออกมาแล้ว และไม่มีสิ่งใดสามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกต่อไป
บทที่ 5: ความลับที่ถูกเปิดเผย
เมืองธีบส์ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนจับจ้องมาที่โออิดิปัสด้วยความหวาดหวั่นและสงสัย หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ว่าโรคร้ายจะไม่หมดไป จนกว่าฆาตกรของกษัตริย์ไลอัสจะถูกลงโทษ โออิดิปัสจึงสั่งให้มีการสืบสวน เขาไม่อาจปล่อยให้คำสาปนี้ทำลายบ้านเมืองของเขาต่อไปได้
“ข้าต้องการความจริง” โออิดิปัสประกาศก้องในท้องพระโรง “ใครก็ตามที่รู้ว่าใครเป็นฆาตกร จงออกมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีใครกล้าพูด ทุกสายตาหันไปมองโครน เทพพยากรณ์สูงวัยผู้เป็นดวงตาแห่งธีบส์ แม้โครนจะหลบสายตาของโออิดิปัส แต่เขารู้ดีว่าความจริงไม่อาจถูกปิดบังได้อีกต่อไป
การเผชิญหน้ากับเทพพยากรณ์
โออิดิปัสจ้องมองโครนด้วยสายตาแน่วแน่ “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าใครเป็นผู้สังหารกษัตริย์ไลอัส?”
โครนถอนหายใจยาว ดวงตาของเขาหลบสายตาของกษัตริย์ “ข้ารู้... แต่ข้ามิอาจพูดได้”
“ทำไมเจ้าถึงพูดไม่ได้? เจ้าเกรงกลัวอำนาจของใคร?” โออิดิปัสเร่งเร้า เสียงของเขาดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเป็นข้าราชการของธีบส์ เจ้าควรบอกความจริงเพื่อช่วยบ้านเมืองของเจ้า!”
โครนหลับตา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เพราะความจริงนี้จะนำไปสู่หายนะของท่าน...”
โออิดิปัสกัดฟันกรอด ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความโกรธ “ข้าไม่สนใจ! บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้!”
ความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน
โครนมองโออิดิปัสด้วยสายตาเวทนา เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาและแน่วแน่
“โออิดิปัส... ท่านคือผู้ที่สังหารกษัตริย์ไลอัส”
เสียงรอบข้างเงียบสงัดทันที เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่ง ชาวเมืองในท้องพระโรงมองโออิดิปัสอย่างตกตะลึง บางคนกระซิบกระซาบด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตาของโออิดิปัสเบิกกว้าง หัวใจของเขาเต้นระรัว
“เจ้าโกหก!” เขาตะโกนออกมา “ข้าไม่เคยฆ่าพ่อของข้า! กษัตริย์ไลอัสมิใช่พ่อของข้า! ข้าเป็นโอรสของกษัตริย์โพลีบุสแห่งโครินธ์!”
โครนส่ายหน้าอย่างช้า ๆ “แต่ท่านมิใช่โอรสแท้จริงของกษัตริย์โพลีบุสและราชินีเมโรพี”
โออิดิปัสรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้าเขา เขาสั่นศีรษะไปมา ราวกับไม่อยากได้ยินสิ่งที่กำลังถูกเปิดเผยออกมา
“ท่านเป็นบุตรของกษัตริย์ไลอัสและโจคาสตา...” โครนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พ่อแม่แท้จริงของท่าน”
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพระราชวัง ทุกคนอ้าปากค้างกับความจริงที่ถูกเปิดเผย ชาวเมืองบางคนถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจ
โออิดิปัสยืนแข็งทื่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ภาพอดีตหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเขา—ทางแยกที่เขาเคยเดินผ่าน การต่อสู้กับชายชรา ความโกรธที่พุ่งพล่านในใจของเขา... และในที่สุด หอกของเขาที่ปักเข้าที่ร่างของชายคนนั้น
“ไม่นะ...” เขากระซิบเบา ๆ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว “มันเป็นไปไม่ได้...”
แต่ลึกลงไปในจิตใจ เขารู้ดีว่ามันเป็นความจริง โออิดิปัสมิได้หนีจากโชคชะตาของเขาเลย—เขากลับเดินเข้าไปสู่เส้นทางที่มันกำหนดไว้โดยไม่รู้ตัว
โจคาสตาและความสิ้นหวัง
เสียงฝีเท้าดังก้องในพระราชวัง พระราชินีโจคาสตารีบเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง นางมองโออิดิปัสและโครน ก่อนที่สายตาของนางจะเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
“ไม่...” นางกระซิบ น้ำตาของนางเอ่อล้นออกมา “ไม่นะ...”
โออิดิปัสหันไปหาโจคาสตา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด “มันเป็นความจริงหรือไม่?”
โจคาสตาก้าวถอยหลัง นางเอามือปิดปากของตนเอง นางส่ายหน้าไปมา แต่นางไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะนางเองก็รู้ความจริงมาโดยตลอด
โออิดิปัสทรุดตัวลงกับพื้น หัวใจของเขาแตกสลาย เสียงของชาวเมืองรอบตัวของเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ บางคนร่ำไห้ บางคนตะโกนสาปแช่งโชคชะตา
นี่คือสิ่งที่เขาพยายามหนีมาตลอดชีวิต...
แต่มันกลับตามเขามาจนถึงปลายทาง และบดขยี้เขาอย่างไร้ความปรานี
บทที่ 6: โศกนาฏกรรมในพระราชวัง
หลังจากความจริงถูกเปิดเผย โออิดิปัสเดินกลับไปยังพระราชวังด้วยหัวใจที่แตกสลาย ความเงียบที่ปกคลุมเขาราวกับม่านหมอกหนักหน่วง เสียงฝีเท้าของเขาก้องกังวานไปทั่วทางเดินอันเงียบงันของพระราชวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อเขาไปถึงห้องบรรทมของโจคาสตา เขาพบว่าประตูห้องปิดแน่น เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากด้านใน ราวกับความเศร้าสลดที่ไร้หนทางระบายออก
“โจคาสตา! เปิดประตู! ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” เขาทุบประตูเสียงดัง หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสะอื้นที่เงียบลงไปทีละน้อย ราวกับลมหายใจที่กำลังจะดับสูญ
ห้องบรรทมที่ปกคลุมด้วยเงามืด
ภายในห้องนั้น โจคาสตานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ภาพหญิงงามที่เคยมีอำนาจและความสง่างาม บัดนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของน้ำตาและความสิ้นหวัง
มือของนางสั่นเครือ นางมองไปยังมงกุฎทองคำที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของนาง บัดนี้มันเป็นเพียงเครื่องหมายของโชคชะตาที่โหดร้าย
“ข้าแต่งงานกับลูกของข้าเอง...” นางพึมพำ เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
นางเคยเป็นราชินีที่สง่างาม เป็นสตรีที่มีอำนาจ แต่บัดนี้ ความจริงอันน่ากลัวได้พรากทุกสิ่งไปจากนาง นางไม่อาจทนอยู่ได้อีกต่อไป
มือของนางเอื้อมไปคว้าสายรัดเอวผืนบาง แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนักอึ้งราวกับแบกรับบาปของทั้งชีวิตไว้ โจคาสตาลุกขึ้นยืน มองไปรอบห้องที่เคยเป็นสถานที่แห่งความสุข บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเงาของโชคชะตาที่เล่นตลกกับนาง
ก่อนที่โออิดิปัสจะพังประตูเข้าไป นางก็ใช้สายรัดเอวผูกคอตนเองไว้กับคานไม้ เสียงสุดท้ายที่เล็ดลอดออกมาคือเสียงลมหายใจที่ขาดห้วง
เสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวัง
ประตูถูกกระแทกเปิดออก โออิดิปัสก้าวเข้ามา แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาชะงักราวกับถูกตรึงอยู่กับที่
ร่างของโจคาสตาห้อยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของนางยังคงมีน้ำตาไหลริน ชุดคลุมสีขาวของนางพลิ้วไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่
“ไม่นะ!” โออิดิปัสพุ่งเข้าไปหาร่างของนาง รีบแกะสายรัดเอวออก แต่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว โจคาสตาได้จากไปแล้ว นางทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง รวมถึงเขาด้วย
โออิดิปัสทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งสูญเสียแม่ของตนเอง เสียงร่ำไห้ของเขาดังก้องไปทั่วพระราชวัง เหมือนเป็นเสียงประกาศถึงจุดจบของชายผู้พยายามต่อสู้กับโชคชะตา
บทลงโทษที่เลวร้ายที่สุด
แต่ความทุกข์ทรมานของเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังดาบที่วางอยู่ข้างแท่นบรรทมของโจคาสตา มือของเขาสั่นระริก ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปคว้ามันมา
“ข้าไม่อาจมองโลกนี้ได้อีกต่อไป...” เขาพึมพำ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าว
โออิดิปัสยกดาบขึ้น และใช้มันควักลูกตาของตนเองออก เลือดสีแดงฉานไหลอาบลงมาตามใบหน้า ไหลนองบนพื้นหินอ่อน เสียงกรีดร้องของเขาดังก้องไปทั่วพระราชวัง ราวกับเป็นเสียงของวิญญาณที่ถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ไปตลอดกาล
ชาวเมืองที่อยู่ภายนอกพระราชวังได้ยินเสียงโหยหวนของกษัตริย์ พวกเขาต่างมองหน้ากันด้วยความสับสนและหวาดกลัว พวกเขาไม่รู้เลยว่า ในเวลานี้ กษัตริย์ผู้เคยเป็นวีรบุรุษของพวกเขา ได้กลายเป็นเพียงชายตาบอดที่ถูกสาปให้ต้องทนทุกข์กับบาปที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน
โออิดิปัสทรุดตัวลงกับพื้น มือของเขาปิดบาดแผลที่เคยเป็นดวงตา เขาไม่ได้เสียเพียงการมองเห็น แต่เขาได้สูญเสียทุกสิ่งไปแล้ว
จุดจบของกษัตริย์แห่งธีบส์
โออิดิปัสนั่งนิ่งอยู่บนพื้น เสียงในพระราชวังเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เขา
เขาสูญเสียทุกอย่าง—ครอบครัว เมืองของเขา และความหวังที่เคยมี ชะตากรรมของเขาถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก และไม่ว่าตัวเขาจะพยายามหลีกหนีมันมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเดินไปสู่เส้นทางที่โชคชะตาลิขิตไว้ให้
เขาไม่ได้เป็นเพียงวีรบุรุษของธีบส์อีกต่อไป—แต่เป็นชายผู้ถูกสาป เป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่พยายามต่อต้านโชคชะตา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้
บทที่ 7: การลี้ภัยของกษัตริย์ที่ตาบอด
โออิดิปัสเดินออกจากธีบส์พร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและเต็มไปด้วยบาดแผล ผ้าพันแผลสีขาวที่ปิดดวงตาของเขาถูกซึมซับด้วยเลือดสีแดงเข้ม ทุกย่างก้าวของเขาหนักอึ้งด้วยความทุกข์ทรมานและความอัปยศ ชาวเมืองธีบส์มองดูเขาด้วยความเวทนา และบางคนถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว เขาคือวีรบุรุษที่เคยช่วยพวกเขาจากสฟิงซ์ แต่บัดนี้ เขาเหลือเพียงเงาของชายผู้เคยยิ่งใหญ่
ไม่มีใครกล่าวถ้อยคำอำลา ไม่มีเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี มีเพียงความเงียบงันที่โอบล้อมโออิดิปัสขณะที่เขาเดินออกจากเมืองที่เขาเคยปกป้องด้วยชีวิตของตนเอง
เส้นทางแห่งความโดดเดี่ยว
เขามุ่งหน้าไปยังโคลอนนัส ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ที่เขาจะได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน แอนติโกนี บุตรสาวผู้ภักดีเดินเคียงข้างเขา นางเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่กับเขา นางไม่กลัวต่อชะตากรรมของบิดา ไม่แม้แต่จะหวั่นไหวต่อความจริงอันโหดร้าย
“พ่อ...” แอนติโกนีกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ นางจับแขนของโออิดิปัสแน่น “ท่านจะไปที่โคลอนนัสจริง ๆ หรือ?”
โออิดิปัสพยักหน้า แม้ดวงตาของเขาจะมืดบอด แต่จิตใจของเขายังคงรับรู้ถึงทิศทางที่โชคชะตานำพาเขาไป “ที่นั่นเป็นจุดจบของข้า...” เขากล่าวเสียงแผ่ว “และเป็นที่ที่ข้าจะได้รับการให้อภัย”
การเดินทางสุดท้าย
เส้นทางไปยังโคลอนนัสเต็มไปด้วยป่ารกทึบ และแม่น้ำที่ไหลเอื่อยราวกับเวลาถูกทำให้ช้าลง ทุกครั้งที่โออิดิปัสก้าวเดิน เขารู้สึกถึงลมหายใจของโลกที่โอบล้อมเขาไว้ สายลมพัดผ่านกิ่งไม้ ทำให้เกิดเสียงกระซิบคล้ายเสียงของเหล่าเทพที่กำลังตัดสินโทษของเขา
เมื่อมาถึงโคลอนนัส บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด อากาศเย็นลงราวกับเป็นสัญญาณของจุดสิ้นสุด แอนติโกนีช่วยพยุงบิดาของนางไปยังลานหินที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าศักดิ์สิทธิ์ ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เขาจะพบกับชะตากรรมสุดท้ายของเขา
“พ่อ... เราจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” แอนติโกนีถาม
โออิดิปัสทรุดตัวลงกับพื้น ร่างของเขาสั่นเทาด้วยความเหนื่อยล้า “ไม่นานนัก...” เขากล่าว “ข้ารู้ว่าเวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว”
เสียงกระซิบจากโชคชะตา
เสียงของสายลมพัดผ่าน และเสียงกระซิบจากโลกเบื้องบนดังก้องอยู่ในหัวของเขา เสียงที่เขาได้ยินตั้งแต่วัยเยาว์ เสียงของโชคชะตาที่เขาพยายามหลีกหนีมาตลอดชีวิต บัดนี้มันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“โออิดิปัส เจ้าผู้พยายามหนีจากโชคชะตา...” เสียงนั้นกระซิบ
โออิดิปัสเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ว่างเปล่าของเขาหันไปตามเสียงที่ไม่มีตัวตน “ข้าทำทุกอย่างเพื่อหนีจากมัน...” เขาพึมพำ “แต่ข้ากลับวิ่งเข้าหามันเอง”
แอนติโกนีมองบิดาของนางด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางรู้ดีว่าเวลาของโออิดิปัสใกล้จะหมดลงแล้ว นางคุกเข่าลงข้าง ๆ และจับมือของเขาไว้แน่น “ข้าอยู่ตรงนี้ พ่อ” นางกระซิบ “ข้าจะไม่ทิ้งท่าน”
โออิดิปัสยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ราวกับว่าในที่สุด เขาก็ได้พบกับความสงบ
การหายไปของโออิดิปัส
ร่างของโออิดิปัสเริ่มสั่นไหว แสงสลัวจากดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ดูเหมือนจะส่องมาที่เขาโดยตรง ลมหายใจของเขาช้าลงเรื่อย ๆ และในที่สุด เขาก็สิ้นใจไปอย่างเงียบงัน
แอนติโกนีกรีดร้องออกมา นางกอดร่างของบิดาไว้แน่น แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว โออิดิปัสได้จากไปแล้ว ร่างของเขาไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่กลับค่อย ๆ หายไป ราวกับถูกกลืนหายไปในป่าศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพ
ไม่มีหลุมฝังศพ ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีแม้แต่เถ้าธุลี สิ่งเดียวที่เหลือไว้คือเรื่องราวของชายผู้พยายามต่อสู้กับโชคชะตา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของมันได้
และนี่คือตำนานของโออิดิปัส... ชายผู้เคยเป็นวีรบุรุษ ชายผู้พยายามหนีจากโชคชะตา แต่สุดท้ายก็ถูกมันกลืนกินไปจนหมดสิ้น


