สมรสเท่าเทียม ทำให้สังคมเปลี่ยนไปอย่างไร
การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียม ทั้งในแง่บวกและลบ คือ
1. การรับรองสิทธิ์ทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ
กฎหมายฉบับนี้เปลี่ยนแปลงคำว่า "ชาย-หญิง" เป็น "บุคคล" และ "สามี-ภรรยา" เป็น "คู่สมรส" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทำให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิ์ในด้านการรับมรดก การดูแลสุขภาพคู่สมรส และการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้เทียบเท่าคู่รักชาย-หญิง
2. จำนวนคู่สมรสที่ทะลักเกินคาด
ในวันแรกของการบังคับใช้กฎหมาย มีคู่รักหลากหลายเพศจดทะเบียนสมรสทั่วประเทศถึง 2,792 คู่ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีกิจกรรมเฉลิมฉลองใหญ่พร้อมการจดทะเบียนหมู่ 193 คู่ที่สยามพารากอน ยอดนี้สะท้อนความต้องการที่ถูกกดทับมานาน และทำให้หลายคนประหลาดใจกับความพร้อมของสังคมไทยในการยอมรับความหลากหลาย
3. ความท้าทายที่ยังคงอยู่
แม้กฎหมายจะผ่าน แต่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมยังไม่สมบูรณ์ เช่น:
- การเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน: งานวิจัยของธนาคารโลกชี้ว่า LGBTQI+ ถูกปฏิเสธงานหรือเลื่อนขั้นเนื่องจากอัตลักษณ์ทางเพศ
- ข้อจำกัดด้านเอกสารราชการ: ผู้ข้ามเพศยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อในบัตรประชาชนได้ ทำให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิต เช่น การถูกกักตัวตรวจสอบที่สนามบิน
- ระบบการศึกษา: โรงเรียนยังใช้กรอบ "พ่อ-แม่" ในกิจกรรมต่าง ๆ สร้างความสับสนให้เด็กจากครอบครัวหลากหลายเพศ
4. ผลกระทบต่อคู่รักข้ามชาติ
กฎหมายนี้เปิดทางให้คู่รักไทย-ต่างชาติจดทะเบียนสมรสได้ แม้ประเทศต้นทางของคู่สมรสจะไม่รองรับ เช่น กรณีของอะคิ (ชาวญี่ปุ่น) และวารินทร์ (ชาวไทย) ที่ต้องย้ายมาอยู่ไทยเนื่องจากสังคมญี่ปุ่นยังไม่เปิดรับคู่รักเพศเดียวกันอย่างเต็มที่ สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้กับหลายคนที่มองว่าประเทศไทยเป็น "แสงสว่าง" ในภูมิภาค
5. กระแสตอบรับจากนานาชาติ
ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในอาเซียนและที่ 3 ในเอเชีย (รองจากไต้หวันและเนปาล) ที่รับรองสมรสเท่าเทียม สื่อต่างชาติให้ความสนใจและยกย่องความก้าวหน้านี้ ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์ว่าการเป็น "สวรรค์ของ LGBTQI+" อาจเป็นเพียงภาพลักษณ์ หากไม่แก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติเชิงลึก
สรุป
การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงสร้างความตกตะลึงจากตัวเลขการจดทะเบียนที่สูง แต่ยังสะท้อนทั้งความหวังและความท้าทายที่เหลืออยู่ แม้สังคมไทยจะก้าวหน้าด้านกฎหมาย แต่การยอมรับในระดับวัฒนธรรมและการปฏิบัติยังต้องพัฒนาต่อไป เพื่อให้ความเท่าเทียมเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในทุกมิติของชีวิต

















