ความเชื่อโบราณ "ลางตาย"
ความเชื่อโบราณ “ลางตาย”
คนไทยมีความเชื่อว่าเมื่อคนเราจะตายจะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดบอกเหตุ เรียกว่า “ลางตาย” ซึ่งมักจะปรากฏให้รู้หรือเห็นอย่างแปลกๆ บางครั้งก็แสดงออกเป็นปริศนา บางครั้งก็แสดงออกมาตรงๆ การแสดงออกของลางตายนี้บางครั้งก็เกิดกับผู้ตายเองก็มี บางทีก็แสดงให้ผู้อื่นเห็น
เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า ถ้าบังเอิญมองเห็นใครไม่มีหัว หรือหัวขาด ท่านให้รีบเอาขันน้ำครอบหัวให้เสีย ถ้าหาขันน้ำไม่ได้ใช้ก็อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกระบุง ตะกร้าที่มีลักษณะกลมๆ ครอบหัว ว่ากันว่าเป็นการแก้เคล็ดแก้ลางแล้วผู้นั้นจะไม่ตาย
บางท่านว่ากันว่า คนไม่มีเงาปรากฏให้เห็น ก็ถือเป็นลางตายอย่างหนึ่ง ให้ไปหาหมอหาพระสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ แต่เรามักจะพูดกันว่าถ้าใครไม่มีเงา คนนั้นไม่ใช่คน คือเป็นผี เป็นสัตว์หรืออสุรกายที่มีฤทธิ์ปลอมแปลงมา
บางคนก่อนตายก็พูดเป็นลาง ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่ควรจะพูด หรือพูดไปโดยไม่ได้นึก อย่างเช่นในงานกินเลี้ยงแห่งหนึ่ง ก่อนงานเลิกเล็กน้อย ชายผู้หนึ่งลุกขึ้นละล่ำละลักจะรีบกลับบอกว่า “ลาก่อนละนะเพื่อน เจาะกันเป็นครั้งสุดท้าย” แล้วก็เดินออกจากร้านไป ครู่เดียวเกิดเสียงเอะอะกันบนถนนหน้าร้าน เพื่อนเราคนนั้นเองถูกรับทับเสียชีวิตเสียแล้ส เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จึงมักจะห้ามเด็กไม่ให้พูดอะไรที่เป็นลาง ผู้ใหญ่เองบางคนก็ชอบพูดเป็นลาง ทำให้เกิดความหวั่นใจต่อผู้อาศัยใบบุญอยู่บ่อยๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าได้ทราบข่าวว่ามีใครเสียชีวิตอย่างกะทันหันไม่ทันรู้ตัว เพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหายมักจะชอบสอบถามผู้ใกล้ชิดว่า มีลางอะไรมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดก็มักจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆให้ฟัง บางเรื่องก็จะสัณนิษฐานได้ว่าเป็นลาง บางเรื่องก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
ลางบางอย่างที่เกิดแก่ผู้ตายโดยตรง ก็มักจะไม่ยอมปริปากบอกเล่าให้ใครฟัง บางคราวจะเห็นว่าก่อนตายมักจะพูดสั่งงานหรือทำงานอย่างผิดปกติเป็นที่สงสัยและประหลาดใจแก่ผู้อยู่ใกล้ชิด จนถึงกับเขียนฎีกานิมนต์พระไว้ก่อนก็มี
เหตุที่คนเรามักจะเชื่อลางต่างๆ เหล่านี้ บางคนจึงชอบสังเกตสิ่งต่างๆ ถ้าอะไรผิดปกติไปแม้เพียงเสียงจิ้งจกร้อง สุนัขวิ่งผ่าน ก็ถือเอาว่าเป็นลางได้ทั้งสิ้น บางคนไม่ว่าจะเห็นอะไรมักจะเก็บเอามาคิดเป็นปริศนาโดยตีความไปในแง่ต่างๆ คล้ายคนบ้าหรือประสาท วิปริต พูดเองเออเองก็นั้นก็มี
เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า พระเจ้าสุปพุทธแห่งศากวงศ์ผู้หนึ่งจะถูกธรณีสูบก็ไม่ยอมลงดินอยู่เสียบนตำหนัก ผลสุดท้ายในวันที่ 7 มีเรื่องม้านิดเดียวเป็นเหตุให้เสด็จลงมาจนได้ กล่าวว่าพอเท้าถึงดินก็ตายทันที ความจริงถ้าจะพูดไปแล้วความตายมันติดตามเราอยู่ทุกขณะ หาช่องหาโอกาสที่จะยัดเยียดความตายให้แก่เราเสมอ ที่เราไม่ตายหรือรอดตายไปนั้นเพราะเรายังไม่ถึงคราวตาย หรือกรรมดียังหล่อเลี้ยงรักษาเราอยู่ ไม่อย่างนั้นตายเมื่อไหร่ก็ดูเหมือนจะตายเอาเสียง่ายๆ โดยไม่คิดไม่ฝัน และเรื่องของความตายนี้แม้ใครระมัดระวังอย่างไร ก็ไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้แน่
คุณลองพิจารณาดูรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นในน้ำ บนดิน หรือท่ามกลางอากาศ ล้วนมีอันตรายมากพอที่จะปลดชีวิตของเราไปได้ทุกขณะ บนถนนรถชนคนเสียชีวิตทุกวัน แม้แต่เดินทางบนทางม้าลายก็ไม่อาจพูดได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ชนกันตายเป็นหมู่คณะก็มี บนอากาศก็มีทั้งฟ้าผ่า ทั้งพายุ พัดมาแต่ละครั้งบ้านช่องพินาศกันเป็นหมู่ๆ ในนั้นก็มีทั้งเรือล่ม ทั้งน้ำท่วม ไม่ว่าคุณจะสัญจรไปไหนมาไหน ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ ความตายก็คอยจับจ้องอยู่ทุกโอกาส
นอกจากอันตรายรอบๆ ตัวแล้ว โรคภัยไข้เจ็บภายในกายตัวเราเองก็ยังเกิดขึ้นไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งยาใหม่ โรคใหม่ หมอเองยังจนปัญญาตามไม่ทันโรคยิ่งกว่าภัยทั้งภายนอกภายในร่างกายของเราเอง ภัยจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ยังมีอีกร้อยแปด รักก็ฆ่ากันตาย ที่ฆ่าตัวตายเองก็มีถมไป มีภัยอยู่หลายอย่างที่โบราณได้รวบรวมขึ้นบัญชีไว้ คือ ราชภัย อัคคีภัย โจรภัย อุสนียภัย เมทนีภัย วาตภัย อุทกภัย ทุพภิกขภัย ทุกภิกภัย พยาธิภัย สัตถภัย และฉาตกภัย
“ความตายคอยติดตามเราทุกขณะจิต” เมื่อเราตระหนักได้เช่นนี้แล้ว “สติ” จึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่เเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่ว่าจะกับคุณ ครอบครัว ญาติมิตร หรือแม้แต่บุคคลที่คุณไม่รู้จัก หากประกอบด้วยสติคุณจะสามารถรับมือและจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้นได้ทันท่วงที
“ลางตาย” อาจเป็นความเชื่อ หรือลางบอกเหตุที่ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยึดถืออย่างงมงาย หรือจะเชื่ออย่างมีสติ
ภาพ : Pixabay
















