โอดิสเซียสและการเดินทางกลับบ้านที่ยาวนาน: มหากาพย์แห่งการรอนแรมและปัญญา (Odyssey: The Long Journey Home)
โอดิสเซียสและการเดินทางกลับบ้านที่ยาวนาน: มหากาพย์แห่งการรอนแรมและปัญญา (Odyssey: The Long Journey Home)
บทนำ: จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไร้จุดสิ้นสุด
รุ่งอรุณแรกของสงครามที่สิ้นสุด สายลมทะเลอีเจียนพัดผ่านไปทั่วชายฝั่งเมืองทรอย กองเรือของกรีกซึ่งเคยตั้งมั่นอยู่ที่นี่มาถึงสิบปี ค่อย ๆ แล่นออกสู่ท้องทะเลกว้าง ภารกิจของพวกเขาสำเร็จแล้ว เมืองทรอยถูกเผาจนไม่เหลือซาก เฮเลนถูกนำตัวกลับสู่สปาร์ตา วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งสงครามแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้านเกิดของตน
สำหรับ โอดิสเซียส (Odysseus) กษัตริย์แห่งอิธากา การเดินทางครั้งนี้ควรใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาควรกลับไปสู่อ้อมกอดของภรรยา เพเนโลปี (Penelope) และลูกชายของเขา เทเลมาคัส (Telemachus) ได้อย่างปลอดภัย
แต่เขาไม่อาจรู้เลยว่า ท้องทะเลกำลังรอคอยบททดสอบอันโหดร้าย ซึ่งจะทำให้เขาต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดไปอีกสิบปี
คำสาปแห่งโพไซดอน: จุดเริ่มต้นของหายนะ
คำสาปแห่งโพไซดอน: จุดเริ่มต้นของหายนะ
เทพเจ้าผู้เกรี้ยวกราดใต้เกลียวคลื่น
ลึกลงไปในมหาสมุทร ก้นบึ้งของทะเลอีเจียนที่มืดมิดและเย็นเยียบ อาณาจักรแห่งท้องทะเลของโพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องน้ำ แผ่ขยายไกลสุดสายตา พระราชวังใต้สมุทรของเขาสร้างจากแนวปะการังที่แข็งแกร่งและไข่มุกสีฟ้าเรืองแสง บรรยากาศเงียบสงัด แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งความโกรธแค้น
เทพโพไซดอนประทับบนบัลลังก์ทองคำ ทรงถือตรีศูลศักดิ์สิทธิ์ในพระหัตถ์ สายพระเนตรสีฟ้าล้ำลึกของพระองค์เปล่งประกายด้วยความเดือดดาล เสียงก้องสะท้อนของมหาสมุทรสั่นสะเทือนทุกคลื่นใต้น้ำเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรไปยังผิวน้ำ
พระองค์ทรงเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่บนแผ่นดิน แต่รวมถึงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ซึ่งเป็นอาณาเขตของพระองค์ และสิ่งที่โพไซดอนเพิ่งได้รับรู้คือเสียงร่ำไห้ของบุตรชายของพระองค์ ไซคลอปส์ โพลีฟีมุส (Polyphemus)
เสียงสาปแช่งของโพลีฟีมุส: ความแค้นที่ก้องกังวานไปทั่วมหาสมุทร
แม้ว่าจะมีเหล่าปลาทะเลนับล้านแหวกว่ายไปทั่วมหาสมุทร แม้ว่าจะมีพายุหมุนเวียนไปตามฤดูกาล แต่ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้านี้จะสามารถปิดกั้นเสียงคร่ำครวญของโพลีฟีมุสได้
เสียงร้องโหยหวนของบุตรชายของโพไซดอนดังมาจากเกาะที่ห่างไกล มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเคียดแค้น และความสิ้นหวัง
"พ่อของข้า! ท่านโพไซดอน เทพแห่งมหาสมุทร ได้โปรดฟังเสียงของข้าด้วย!"
โพลีฟีมุส นอนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของถ้ำที่เขาเคยอาศัย เลือดสีดำคล้ำไหลรินจากดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยจ้องมองโลกกว้าง แต่บัดนี้ถูกเผาไหม้และพร่ามัวด้วยเปลวไฟแห่งเล่ห์กล
"ข้า ผู้เป็นบุตรของท่าน ถูกหลอกลวง! ถูกทรยศ! ถูกทำให้ตาบอด! มนุษย์ผู้โอหังชื่อโอดิสเซียส เขาคือผู้กระทำต่อข้า!"
"ขอให้เขาไม่ได้กลับถึงบ้าน ขอให้เขาเร่ร่อนในทะเล ขอให้ทุกก้าวย่างของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ ขอให้เขาไม่มีวันพบความสงบสุข ขอให้เขาสูญเสียทุกสิ่งก่อนที่เขาจะได้กลับไปสู่อ้อมกอดของภรรยาและลูกของเขา!"
โพลีฟีมุสกรีดร้อง ขณะที่มือของเขากำก้อนหินขนาดมหึมาแล้วเหวี่ยงมันลงสู่ทะเล
และในขณะนั้นเอง ทะเลทั้งมหาสมุทรก็ตอบรับเสียงคำสาป
โพไซดอนเปลี่ยนจากพันธมิตรเป็นศัตรู
โพไซดอนเคยเป็นพันธมิตรของชาวกรีก ในสงครามโทรจัน เขาเคยช่วยกองทัพของกรีกในบางโอกาส แม้จะไม่เอื้อเฟื้อต่อมนุษย์มากนัก แต่พระองค์ก็ไม่ได้ขัดขวางพวกเขา
แต่บัดนี้ มันไม่ใช่อีกต่อไป
เมื่อโพไซดอนฟังคำสาปแช่งของบุตรชาย พระองค์มิอาจเพิกเฉยได้ เขาไม่อาจปล่อยให้โอดิสเซียสเดินทางกลับอิธากาโดยปราศจากการลงทัณฑ์อันสาสม
โพไซดอนทรงกำตรีศูลแน่น พระเกศาของพระองค์พลิ้วไหวราวกับคลื่นทะเลที่กำลังจะปะทุเป็นพายุ เสียงของพระองค์ก้องกังวานไปทั่วใต้มหาสมุทร
"เจ้าผู้โอหัง โอดิสเซียส!"
"เจ้ากล้าเหิมเกริมต่อลูกของข้า กล้าหยามเกียรติของทวยเทพด้วยเล่ห์กลอันต่ำช้า!"
"ข้าขอสาปเจ้า! จงระหกระเหินไปตามทะเลอย่างไร้จุดหมาย จงเผชิญกับมหันตภัยที่ข้าจะส่งไปทดสอบเจ้า จงเผชิญกับพายุ คลื่นลม และอุปสรรคที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งของมนุษย์!"
"ข้าจะไม่ให้เจ้าพบฝั่งอิธากาจนกว่าข้าจะพอใจ! จนกว่าความหยิ่งยโสของเจ้าจะถูกบดขยี้! จนกว่าข้าจะเห็นว่าเจ้าไม่เหลืออะไรอีกเลย!"
พายุแห่งเทพเจ้า: จุดเริ่มต้นของการล่มสลาย
ทันทีที่คำสาปของโพไซดอนถูกเปล่งออก ท้องทะเลที่เคยสงบนิ่งก็กลายเป็นนรกที่ไม่มีใครหนีพ้น
มหาสมุทรคำราม คลื่นยักษ์สูงเท่าภูเขากระแทกเข้ากับกองเรือของโอดิสเซียส ฟ้าผ่าลงกลางมหาสมุทร ลมพายุโหมกระหน่ำ มันพัดเอาเรือของเขาออกจากเส้นทางที่เคยถูกกำหนดไว้
โอดิสเซียสและลูกเรือตกอยู่ในความตื่นตระหนก พวกเขามองไม่เห็นท้องฟ้า มองไม่เห็นดินแดนใด ๆ มีเพียงความมืดและเสียงคำรามของพายุที่ไม่รู้จบ
พายุซัดกองเรือออกนอกเส้นทาง: จุดเริ่มต้นของมหากาพย์การเดินทาง
กองเรือที่เคยเดินทางตรงสู่บ้านเกิด บัดนี้ ถูกซัดออกสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าควรไปทางใด ไม่รู้ว่าพายุจะสงบลงเมื่อใด และพวกเขาไม่รู้เลยว่านี่คือเพียงจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทรมานที่กำลังรออยู่
โอดิสเซียส ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เสื้อผ้าของเขาถูกพายุฉีกกระชาก น้ำทะเลสาดเข้าใบหน้า แต่เขาไม่ยอมแพ้
"เราจะต้องรอด!"
เขาไม่รู้เลยว่า การเดินทางกลับบ้านที่ควรใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ จะกินเวลานานถึงสิบปี
และนี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์แห่งการเดินทางอันแสนยาวนาน...
เผชิญหน้ากับยักษ์ตาเดียว: โพลีฟีมุส (Polyphemus, the Cyclops)
เผชิญหน้ากับยักษ์ตาเดียว: โพลีฟีมุส (Polyphemus, the Cyclops)
เกาะลึกลับและการตัดสินใจที่เปลี่ยนโชคชะตา
หลังจากล่องลอยอยู่กลางทะเลอีเจียนเป็นเวลาหลายวัน โอดิสเซียสและลูกเรือ ต่างอ่อนล้า พวกเขาถูกพายุซัดออกนอกเส้นทาง ท้องทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดเริ่มทำให้พวกเขาสิ้นหวัง
แต่แล้ว สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปเห็น เงาของเกาะแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมอกจาง ๆ บนขอบฟ้า มันเป็นดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครเหยียบย่างมาก่อน โอดิสเซียสตัดสินใจนำเรือเข้าเทียบท่า เพราะพวกเขาต้องการอาหาร น้ำจืด และที่พัก
เมื่อพวกเขาขึ้นฝั่ง พวกเขาพบว่าเกาะแห่งนี้เงียบสงบเกินไป ไม่มีสัญญาณของมนุษย์ ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีเสียงของผู้คน สิ่งเดียวที่พวกเขาสังเกตเห็นคือ ถ้ำขนาดมหึมา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเนินเขา ภายในนั้นมีแสงจาง ๆ ของกองไฟส่องลอดออกมา
"บางทีนี่อาจเป็นบ้านของชาวเกาะ พวกเขาอาจเป็นมิตร และอาจช่วยเราได้," โอดิสเซียสคิดในใจ
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ถ้ำ สิ่งที่พวกเขาเห็นทำให้พวกเขาตกตะลึง
สมบัติในถ้ำและกับดักที่ซ่อนอยู่
ภายในถ้ำขนาดมหึมา พวกเขาพบสิ่งที่ดูเหมือนเป็น ขุมทรัพย์แห่งอาหาร มี เนื้อสัตว์ที่รมควันไว้ แพะและแกะที่ถูกมัดไว้เป็นฝูง ถังไม้โอ๊คเต็มไปด้วยนมและชีสสดใหม่
ลูกเรือของโอดิสเซียสต่างพากันตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาหลายวัน การพบอาหารจำนวนมากทำให้พวกเขาคิดว่าโชคเข้าข้าง
"พวกเราควรรีบเอาอาหารแล้วกลับไปที่เรือ!" ลูกเรือคนหนึ่งกระซิบบอก
แต่โอดิสเซียสกลับมีความคิดที่แตกต่าง เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
"ถ้ำนี้มีเจ้าของ และมันต้องเป็นใครสักคนที่ไม่ธรรมดา" เขากล่าว
แต่ความอยากรู้อยากเห็นของเขามากเกินไป โอดิสเซียสต้องการพบเจ้าของถ้ำ เขาต้องการทดสอบว่าเจ้าของถ้ำนี้เป็นมิตรหรือศัตรู
"พวกเราจะรอเจ้าของถ้ำกลับมา" เขาสั่งลูกเรือ
และนั่นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาทั้งหมด
การปรากฏตัวของโพลีฟีมุส: ยักษ์ตาเดียวผู้กระหายเลือด
ไม่นานหลังจากที่พวกเขารออยู่ในถ้ำ เสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงดังกึกก้องมาจากทางเข้าถ้ำ
พื้นดินสั่นสะเทือน แสงจากเปลวไฟสะท้อนเงาของสิ่งมีชีวิตร่างมหึมาที่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามา
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ โพลีฟีมุส (Polyphemus) ไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียว ผู้เป็นบุตรของเทพโพไซดอน
มันสูงเทียบเท่าหอคอย มีร่างกายกำยำขนาดมหึมา ผิวหนังหนาและเต็มไปด้วยรอยแผลจากสงคราม ดวงตาขนาดใหญ่เพียงข้างเดียวอยู่กลางหน้าผากของมัน มันถือกระบองไม้ขนาดยักษ์ที่ทำจากต้นไม้ทั้งต้น
โพลีฟีมุสไม่ใช่มนุษย์ และมันไม่ใช่สิ่งที่โอดิสเซียสเคยเผชิญมาก่อน
โพลีฟีมุสปิดถ้ำและเริ่มต้นความสยดสยอง
ทันทีที่โพลีฟีมุสก้าวเข้ามา มันลากก้อนหินขนาดมหึมาปิดปากถ้ำ ทำให้ไม่มีใครสามารถหลบหนีออกไปได้
"มนุษย์ตัวจ้อย เจ้ากล้ามาในบ้านของข้า?"
เสียงของมันก้องสะท้อนไปทั่วถ้ำ ราวกับเสียงฟ้าคำราม โอดิสเซียสพยายามพูดกับมันด้วยความสุภาพ
"พวกเราเป็นนักเดินทางจากแดนไกล เราหลงทางมาและขอเพียงอาหารเล็กน้อย หากท่านเมตตา เทพเจ้าจะประทานพรให้ท่าน"
แต่มันหัวเราะเยาะ
"เทพเจ้า? ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าไม่เคยกลัวเทพเจ้าใด ๆ! ข้าคือบุตรของโพไซดอน และไม่มีผู้ใดสั่งข้าได้!"
ทันใดนั้นเอง มันคว้าตัวลูกเรือของโอดิสเซียสสองคนขึ้นมา และบดขยี้พวกเขาด้วยมือของมัน ก่อนจะกินพวกเขาทั้งเป็น
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว พวกที่เหลือยืนแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว
แผนการหลอกล่อโพลีฟีมุส: กับดักของมนุษย์
โอดิสเซียสตระหนักว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสู้กับโพลีฟีมุสได้โดยตรง เขาจึงคิดแผนการอันชาญฉลาดขึ้นมา
ในถ้ำมีถังไวน์เก่าแก่ที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้ เป็นไวน์ที่เข้มข้นจนแม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องยอมรับในรสชาติ
โอดิสเซียสเข้าไปใกล้โพลีฟีมุสและกล่าวว่า
"ข้าเห็นว่าท่านเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ข้าได้มอบไวน์นี้แด่ท่าน เป็นของขวัญจากแดนไกล"
โพลีฟีมุสรับไวน์มาและดื่มเข้าไปอย่างไม่ลังเล มันไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มที่หวานและเข้มข้นเช่นนี้มาก่อน
ไม่นานนัก ดวงตาของมันเริ่มพร่ามัว เสียงหายใจหนักขึ้น
"เจ้าชื่ออะไร มนุษย์ตัวจ้อย?" มันถาม
โอดิสเซียสยิ้มอย่างมีเลศนัย "ข้ามีนามว่า ไม่มีใคร (Nobody)"
ดวงตาที่มอดไหม้ และการหลบหนีที่เสี่ยงตาย
เมื่อโพลีฟีมุสหมดสติจากฤทธิ์ไวน์ โอดิสเซียสและลูกเรือก็เผาหอกไม้ขนาดยักษ์ และแทงเข้าที่ดวงตาของมัน
เสียงกรีดร้องของมันดังกึกก้องไปทั่วเกาะ
โพลีฟีมุสตื่นขึ้นมาและพยายามคว้าตัวพวกเขา แต่มันมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป
มันตะโกนเรียกพี่น้องของมัน แต่เมื่อพวกมันถามว่าใครทำร้ายมัน โพลีฟีมุสก็ตะโกนว่า
"ไม่มีใครทำร้ายข้า! ไม่มีใครทำร้ายข้า!"
ทำให้พวกไซคลอปส์ที่เหลือเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และไม่มีใครเข้ามาช่วยมัน
รุ่งเช้า โอดิสเซียสและลูกเรือ ซ่อนตัวใต้ท้องแกะของโพลีฟีมุส และหลบหนีออกจากถ้ำได้สำเร็จ
ความผิดพลาดครั้งใหญ่: คำสาปที่เปลี่ยนชะตาชีวิต
เมื่อเรือของพวกเขาออกจากเกาะได้ โอดิสเซียสกลับหันไปเยาะเย้ยโพลีฟีมุส และตะโกนบอกชื่อจริงของเขา
"ข้าคือโอดิสเซียส กษัตริย์แห่งอิธากา! จำข้าไว้ให้ดี!"
โพลีฟีมุสได้ยินดังนั้น มันสาปแช่งเขาและอ้อนวอนให้บิดาของมัน เทพโพไซดอน ลงโทษโอดิสเซียสตลอดการเดินทาง
และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่ทำให้โอดิสเซียสต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดไปอีกสิบปี...
เกาะแห่งเซอร์ซี: นักรบที่กลายเป็นสัตว์
เกาะแห่งเซอร์ซี: นักรบที่กลายเป็นสัตว์
การค้นหาที่พักพิงและดินแดนแห่งความลึกลับ
หลังจากที่โอดิสเซียสและลูกเรือสามารถหลบหนีจากเกาะของโพลีฟีมุสได้สำเร็จ พวกเขาต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าและสิ้นหวังที่เพิ่มขึ้น การล่องเรือกลางทะเลที่ไม่รู้จบทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาตกต่ำ พวกเขาต้องการที่พักพิง อาหาร และน้ำจืดเพื่อกอบกู้กำลังใจและฟื้นฟูร่างกาย
ไม่นานนัก พวกเขาก็มองเห็น เกาะแห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยป่าเขียวขจีและสภาพแวดล้อมที่งดงาม โอดิสเซียสตัดสินใจนำเรือเข้าเทียบท่าที่เกาะนี้ หวังว่ามันจะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางกลับบ้านที่ดีขึ้น
แต่โอดิสเซียสและลูกเรือของเขาไม่รู้เลยว่า เกาะนี้เป็นดินแดนของเซอร์ซี (Circe) แม่มดที่ทรงพลังที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
การพบกับเซอร์ซี: วังที่ซ่อนความลับ
เมื่อลูกเรือของโอดิสเซียสเดินทางเข้าไปในเกาะ พวกเขาพบเส้นทางที่นำไปสู่วังหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางป่า วังนั้นดูสวยงามและลึกลับ เสียงนกหวีดและสัตว์ร้องดังอยู่รอบ ๆ ทำให้ลูกเรือรู้สึกถึงความสงบอันผิดปกติ
เซอร์ซี (Circe) ปรากฏตัวออกมาจากประตูวังของเธอ เธอเป็นหญิงงามที่งดงามอย่างไม่มีที่ติ แต่ดวงตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความลึกลับ และเสน่ห์ที่ยากจะต้านทานได้
เซอร์ซีต้อนรับลูกเรืออย่างอบอุ่น และเชิญพวกเขาเข้าไปในวังเพื่อรับประทานอาหารที่เธอเตรียมไว้ พวกเขาไม่ได้ระแวดระวังอะไร เพราะการต้อนรับที่ดูเป็นมิตร และอาหารที่เซอร์ซีจัดไว้ก็ดูอุดมสมบูรณ์
แต่แท้จริงแล้ว อาหารและเหล้าที่พวกเขากินนั้นเต็มไปด้วยเวทมนตร์
เวทมนตร์ของเซอร์ซี: การเปลี่ยนแปลงที่น่าสยดสยอง
ทันทีที่ลูกเรือกินอาหารเข้าไป เซอร์ซีก็เผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
"ขอต้อนรับสู่ดินแดนของข้า ผู้มาเยือนผู้โง่เขลา"
เธอใช้คทาเวทมนตร์โบกผ่านอากาศ และ พลังอำนาจของเธอก็แผ่กระจายไปทั่วห้อง ลูกเรือของโอดิสเซียสที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ทันใดนั้นก็เริ่มกลายร่าง พวกเขาเปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นสัตว์ — หมูที่ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความสับสนและตกใจ
เซอร์ซีหัวเราะเยาะพวกเขา สัตว์เหล่านี้ยังคงมีสติและความรู้สึกเหมือนมนุษย์ แต่กลับไม่มีพละกำลังและความสามารถที่จะหนีรอดจากเงื้อมมือของเธอ เธอขังพวกมันไว้ในคอกหลังวัง ซึ่งเป็นที่ที่เธอเก็บรักษาสัตว์อื่น ๆ ที่เธอเคยใช้เวทมนตร์เปลี่ยนจากมนุษย์
โอดิสเซียสเผชิญหน้ากับปัญหา: ความช่วยเหลือจากเฮอร์มีส
เมื่อโอดิสเซียสทราบข่าวว่าลูกเรือของเขาหายไปในวังของเซอร์ซี เขาไม่อาจนิ่งเฉย เขาตัดสินใจไปเผชิญหน้ากับเซอร์ซีด้วยตัวเอง เขาเตรียมอาวุธและพละกำลัง พร้อมกับหัวใจที่เต็มไปด้วยความห่วงใยในพวกพ้อง
แต่ระหว่างที่เขากำลังเดินทางเข้าไปยังวังของเซอร์ซี เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพเจ้าแห่งการสื่อสารและการเดินทาง ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
เฮอร์มีสเตือนโอดิสเซียสถึง พลังอำนาจของเซอร์ซี และอธิบายว่าเธอเป็นแม่มดที่ทรงพลังมากที่สุด แต่เฮอร์มีสไม่ต้องการให้โอดิสเซียสและลูกเรือของเขาตกเป็นเหยื่อของเซอร์ซีอีกต่อไป
"จงเอาสมุนไพรนี้ไป มันจะปกป้องเจ้าไม่ให้ต้องตกเป็นทาสของเวทมนตร์" เฮอร์มีสกล่าว
เฮอร์มีสมอบสมุนไพรที่เรียกว่า "โมลี (Moly)" ให้แก่โอดิสเซียส ซึ่งเป็นสมุนไพรวิเศษที่สามารถป้องกันเวทมนตร์ของเซอร์ซีได้
การเผชิญหน้ากับเซอร์ซี: การเผชิญหน้าที่ต้องใช้ปัญญาและความกล้าหาญ
โอดิสเซียสเดินเข้าไปในวังของเซอร์ซี เขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกเรือของเขา เมื่อเซอร์ซีเห็นเขา เธอก็พยายามใช้เวทมนตร์ใส่เขาเช่นเดียวกับที่เธอทำกับลูกเรือคนอื่น ๆ
แต่โอดิสเซียสไม่เป็นอะไร สมุนไพรที่เฮอร์มีสมอบให้ทำให้เขาต้านทานเวทมนตร์ของเซอร์ซีได้
เซอร์ซีตกใจเมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ของเธอไม่ได้ผล เธอพยายามเจรจากับโอดิสเซียส แต่เขาชิงจับคทาของเธอและยกดาบขึ้นมา พร้อมจะสังหารเธอ
"จงคืนร่างให้ลูกเรือของข้าเดี๋ยวนี้!" โอดิสเซียสสั่งเสียงดัง
เซอร์ซีเห็นความกล้าหาญและไหวพริบของโอดิสเซียส เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และเริ่มรู้สึกถึงความชื่นชมและเสน่ห์ในตัวเขา
เธอยอมคืนร่างให้ลูกเรือของโอดิสเซียส และขอร้องให้เขาอยู่กับเธอ
หนึ่งปีบนเกาะแห่งเซอร์ซี: ความรักและการพักฟื้น
เซอร์ซีตกหลุมรักโอดิสเซียส และเชื้อเชิญให้เขาและลูกเรืออยู่บนเกาะของเธอเป็นเวลาหนึ่งปี เธอให้ความสะดวกสบายแก่พวกเขาและฟื้นฟูกำลังใจของลูกเรือที่บอบช้ำจากการเดินทางและการผจญภัยที่ผ่านมา
โอดิสเซียสและลูกเรือได้รับการต้อนรับที่ดี เซอร์ซีเปิดเผยถึง ความเป็นแม่มดที่ไม่เพียงแต่อันตราย แต่ยังมีความอ่อนโยนในตัวเธอด้วย
แต่ถึงแม้จะได้รับความสะดวกสบาย โอดิสเซียสไม่เคยลืมภารกิจของเขา เขารู้ว่าบ้านเกิดของเขา อิธากา และภรรยาของเขา เพเนโลปี ยังรอคอยการกลับมาของเขา
หลังจากที่เวลาผ่านไปหนึ่งปี โอดิสเซียสขอให้เซอร์ซีปล่อยเขาและลูกเรือออกเดินทางต่อ เธอไม่ยอมขัดขืน และยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญในอนาคต ซึ่งจะเป็นอุปสรรคที่ท้าทายยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา
บทสรุป: บททดสอบที่สอนให้รู้ถึงความอดทนและปัญญา
การผจญภัยบนเกาะของเซอร์ซีเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับโอดิสเซียส มันไม่ได้เป็นเพียงการเผชิญหน้ากับพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่ยังเป็นการเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก
โอดิสเซียสได้พิสูจน์ว่า ไม่ใช่เพียงกำลังเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษ แต่เป็นปัญญา ไหวพริบ และความรักต่อพวกพ้องและบ้านเกิด
การเดินทางของเขายังคงดำเนินต่อไป และเขายังต้องเผชิญกับอุปสรรคอีกมากมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะของเซอร์ซีสอนให้เขารู้ว่า แม้เผชิญกับพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติ เขาก็ยังสามารถเอาชนะได้ด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ
ไซเรนส์: บทเพลงแห่งความตาย
ไซเรนส์: บทเพลงแห่งความตาย
สายหมอกแห่งอาถรรพ์และคำเตือนของเซอร์ซี
เมื่อโอดิสเซียสและลูกเรือออกเดินทางจากเกาะของเซอร์ซี เขารู้ดีว่าการเดินทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยอันตราย เซอร์ซีได้เตือนเขาก่อนออกเดินทางว่า พวกเขาจะต้องผ่านดินแดนแห่งไซเรนส์ (Sirens)
"โอดิสเซียสเอ๋ย เจ้ายังมีบททดสอบอีกมากรออยู่ข้างหน้า หนึ่งในนั้นคือ ไซเรนส์ สตรีผู้มีเสียงหวานจับใจ แต่เจ้าจงรู้ไว้ว่า เสียงของพวกนางคือคำสาป ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงนั้นจะหลงใหลจนไม่อาจห้ามใจตนเองได้ และจะพุ่งตัวลงจากเรือไปหาพวกนาง... เพื่อพบกับความตาย"
เธอบอกให้เขาหาทางป้องกันตัวเองและลูกเรือ หากพวกเขาเผลอได้ยินเสียงของไซเรนส์ พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของพวกนางได้ และจะจบชีวิตลงในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โอดิสเซียสรู้ดีว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อม
การเตรียมตัวก่อนเผชิญหน้ากับไซเรนส์
เมื่อเรือของเขาแล่นเข้าใกล้ดินแดนของไซเรนส์ อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง ไม่มีลมพัด ไม่มีเสียงของคลื่นซัดสาด มีเพียงความเงียบงันที่ทำให้ลูกเรือเริ่มหวาดกลัว
โอดิสเซียสรู้ว่าพวกเขาใกล้จะถึงจุดที่อันตรายที่สุด เขาจึงสั่งลูกเรือให้ทำตามคำแนะนำของเซอร์ซีอย่างเคร่งครัด
- เขาสั่งให้ลูกเรือทุกคนอุดหูด้วยขี้ผึ้งจากรังผึ้ง
- เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาได้ยินเสียงของไซเรนส์
- ลูกเรือทุกคนทำตามโดยไม่ลังเล เพราะพวกเขารู้ว่าเสียงของไซเรนส์อันตรายเพียงใด
- เขาสั่งให้ลูกเรือมัดตัวเขาไว้กับเสากระโดงเรือ
- เขาไม่อุดหูของตัวเอง เพราะเขาต้องการทดสอบตนเองและพิสูจน์ว่าตัวเขาสามารถต้านทานสิ่งล่อลวงได้
- เขากำชับลูกเรือว่า ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนหรือร้องขออย่างไร พวกเขาต้องไม่แก้มัดเขาจนกว่าพวกเขาจะพ้นจากอาณาเขตของไซเรนส์
ลูกเรือพยักหน้ารับคำสั่ง พวกเขามัดโอดิสเซียสแน่นหนา เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่สามารถดิ้นหลุดได้
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว พวกเขาก็แล่นเรือต่อไป ตรงเข้าสู่ดินแดนแห่งไซเรนส์
บทเพลงต้องสาป: เสียงที่ไม่มีมนุษย์ต้านทานได้
ทันทีที่เรือของโอดิสเซียสแล่นเข้าไปใกล้เกาะของไซเรนส์ เสียงร้องเพลงกังวานหวานจับใจดังก้องไปทั่วมหาสมุทร
"โอดิสเซียส ผู้ยิ่งใหญ่ มาหาเราสิ..."
"จงปล่อยใจให้เป็นอิสระ เราจะมอบความสุขให้แก่เจ้า..."
"เจ้าจะได้ล่วงรู้ความลับแห่งโลกนี้ ได้สัมผัสความสุขที่ไม่มีใครเคยได้สัมผัส..."
น้ำเสียงของพวกนางงดงามเกินบรรยาย หวานละมุนและเย้ายวน มันไม่ใช่เพียงแค่เสียงเพลง แต่มันเป็นมนต์สะกดที่บีบคั้นหัวใจ
โอดิสเซียสที่ถูกมัดอยู่กับเสากระโดงเรือ เริ่มดิ้นรนทันที ความแข็งแกร่งของเขาหาได้ช่วยอะไรไม่เลย
หัวใจของเขาถูกเสียงเพลงกระชากออกไปจากความเป็นจริง
"แก้มัดข้า! ข้าต้องไปหาพวกนาง! ข้าขอร้อง! ได้โปรด!"
เขากรีดร้อง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหลและความทรมานในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความปรารถนา มือของเขาดิ้นรนจนเชือกเกือบจะหลุด
แต่ลูกเรือของเขา ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เพราะพวกเขาอุดหูด้วยขี้ผึ้งตามคำสั่ง และพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องอดทนต่อเสียงของกษัตริย์ของพวกเขา ไม่ว่าเขาจะขอร้องเพียงใดก็ตาม
การต่อสู้ของโอดิสเซียสกับความล่อลวง
โอดิสเซียสพยายามทุกวิถีทางที่จะหลุดออกจากเชือก เขาดิ้นรนจนข้อมือของเขาเริ่มมีเลือดซึมออกมา แต่เชือกที่พันรอบร่างของเขานั้นแข็งแกร่ง ไม่มีทางที่เขาจะหลุดออกมาได้
แต่เสียงของไซเรนส์ยังคงดังอยู่
"โอดิสเซียส มาหาเราเถิด..."
"เจ้าคือวีรบุรุษของกรีก เจ้าคู่ควรกับความสุขนิรันดร์..."
ทุกถ้อยคำช่างหวานจับใจ ทุกโน้ตของเสียงเพลงเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์
หัวใจของโอดิสเซียสเต้นแรง เขาไม่เคยต้องต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน
"ข้าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่... ข้าจะไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งนี้... ข้าจะต้องรอด..."
เขาฝืนตัวเองให้มองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสมาธิไปยังมหาสมุทร และอดทนต่อความเจ็บปวดของจิตใจที่ถูกดึงดูดไปสู่ความปรารถนาอันต้องห้าม
หลุดพ้นจากเงื้อมมือของไซเรนส์
เวลาผ่านไปไม่นาน แต่สำหรับโอดิสเซียสมันรู้สึกเหมือน นานเป็นชั่วกัปชั่วกัลป์
เรือของพวกเขาเริ่มแล่นออกห่างจากเกาะของไซเรนส์ เสียงของพวกนางเริ่มแผ่วเบาลง
"โอดิสเซียส... เจ้าจะเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับเรา..."
"จงกลับมาเถิด... กลับมา..."
และในที่สุด ความเงียบก็ค่อย ๆ กลับคืนมา
เมื่อลูกเรือเห็นว่าไม่มีเสียงใด ๆ เหลืออยู่แล้ว พวกเขาจึง แก้มัดให้โอดิสเซียส
เขาทรุดตัวลงกับพื้น หัวใจของเขายังเต้นแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ และดวงตาของเขามีประกายของความเจ็บปวดจากการต่อสู้กับตัวเอง
เขาเอาชนะไซเรนส์ได้
แต่เขารู้ดีว่า มันคือการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
บทสรุป: ไซเรนส์และบทเรียนแห่งการยับยั้งชั่งใจ
ไซเรนส์ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความล่อลวงที่สามารถทำให้แม้แต่วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดต้องพ่ายแพ้
โอดิสเซียสสามารถรอดจากบทเพลงแห่งความตายนี้ได้ เพราะเขาวางแผนล่วงหน้าและรู้ถึงจุดอ่อนของมนุษย์
นี่เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แม้แต่ชายที่มีสติปัญญาเหนือคนอื่น ก็ยังต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสามารถต้านทานความล่อลวงได้เพียงลำพัง
และการเดินทางของเขายังไม่จบ เพราะอันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ยังรอเขาอยู่ข้างหน้า...
คาลิปโซ: นักโทษแห่งความรัก
พายุที่เปลี่ยนเส้นทางสู่บ้านเกิด
โอดิสเซียสซึ่งเอาชนะไซเรนส์และหลบหนีจากเงื้อมมือของสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลมาได้ ยังคงมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดของเขา อิธากา ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
แต่โชคชะตายังไม่ปล่อยให้เขากลับบ้านง่าย ๆ
โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังคงโกรธแค้นเขาจากเหตุการณ์ที่เขาทำให้ โพลีฟีมุส (Polyphemus) บุตรชายของโพไซดอนตาบอด เทพแห่งท้องทะเลจึงตัดสินใจ ส่งพายุที่รุนแรงที่สุดในมหาสมุทร ไปทำลายเรือของโอดิสเซียส
คลื่นยักษ์สูงเท่าภูเขาถาโถมเข้ามา ลมพายุพัดแรงราวกับจะแยกมหาสมุทรออกจากกัน เรือของโอดิสเซียสโคลงเคลงอย่างรุนแรง กระดานไม้แตกกระจายไปทั่วผิวน้ำ ลูกเรือของเขาหลายคนถูกซัดหายไปในเกลียวคลื่น
โอดิสเซียส ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ท่ามกลางความมืดของท้องฟ้าที่มีสายฟ้าฟาดลงมา มือของเขาจับซากไม้กระดานที่เหลือรอดเอาไว้แน่น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากคลื่นและสายฝนที่โหมกระหน่ำ
พายุพัดพาเขาไปยังจุดหมายที่เขาไม่เคยคาดคิด...
เกาะแห่งคาลิปโซ: ดินแดนต้องสาป
เมื่อพายุสงบลง โอดิสเซียสลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เขาพบว่าตัวเองถูกซัดขึ้นฝั่งของเกาะลึกลับแห่งหนึ่ง
เกาะโอโจเจีย (Ogygia) เป็นดินแดนที่สวยงามราวกับสวรรค์ มีป่าเขียวชอุ่ม มีสายน้ำบริสุทธิ์ไหลผ่าน มีท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆฝน
เสียงนกหวีดหวิวดังอยู่รอบตัวเขา กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดแตะจมูกของเขา มันช่างเงียบสงบ... เงียบสงบเกินไป
นี่คือดินแดนของ คาลิปโซ (Calypso) เทพธิดาแห่งท้องทะเลและความเวิ้งว้าง ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาเป็นเวลาหลายพันปี
คาลิปโซพบโอดิสเซียสหมดสติอยู่บนชายหาด เธอเห็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดของกรีกถูกพายุซัดมาอยู่ในอาณาจักรของเธอ
เธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น
ความรักที่กลายเป็นพันธนาการ
คาลิปโซช่วยพยาบาลโอดิสเซียสให้ฟื้นตัว เธอให้เขาดื่มน้ำจากลำธารศักดิ์สิทธิ์ ให้เขาพักผ่อนบนเตียงที่ทำจากใบไม้และผ้าไหมละเอียด
เมื่อโอดิสเซียสลืมตาขึ้นมา เขาพบหญิงงามที่งดงามราวกับเทพธิดานั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ดวงตาของเธอส่องประกายราวกับมหาสมุทร เธอมีเส้นผมยาวสลวยและผิวขาวราวกับพระจันทร์
"เจ้ามาที่นี่เพราะโชคชะตานำพา ข้าจะดูแลเจ้าเอง โอดิสเซียส..."
โอดิสเซียสรู้ดีว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เธอไม่ได้เป็นศัตรู แต่เธอก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้มีพระคุณ
เธอเป็นผู้กักขังเขาโดยไม่ใช้โซ่ตรวน แต่ใช้ความรักของเธอ
คาลิปโซเสนอให้โอดิสเซียส อยู่กับเธอไปตลอดกาล
เธอเสนอให้เขามีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เธอสามารถทำให้เขาเป็นอมตะ และไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์อีกต่อไป
"เจ้าจะไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์จากมนุษย์อีกต่อไป เจ้าจะไม่มีวันแก่ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสงครามหรือความตายอีกแล้ว"
เธอให้เขา ทุกสิ่งที่มนุษย์พึงปรารถนา ความมั่งคั่ง อาหารอันโอชะ การใช้ชีวิตในวิมานที่งดงามที่สุด
แต่... เธอไม่สามารถให้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดได้
โอดิสเซียส: นักโทษแห่งความรักและความสิ้นหวัง
โอดิสเซียสไม่อาจรักคาลิปโซได้
เขายังคงรักเพเนโลปี ภรรยาของเขา ผู้ซึ่งอาจกำลังรอคอยเขาอยู่ที่อิธากา
ทุกวัน เขาเดินไปยังชายฝั่ง มองออกไปยังทะเลที่ไกลโพ้น
"บ้านของข้า... ข้าจะไม่มีวันได้กลับไปอีกแล้วหรือ?"
เขาสูญเสียความหวัง เขาถูกกักขังอยู่ในวิมานอันงดงาม แต่ภายในหัวใจของเขานั้นเหมือนถูกขังอยู่ในคุกแห่งความสิ้นหวัง
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า...
เวลาผ่านไปถึงเจ็ดปี โอดิสเซียสใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้อย่างเงียบงัน แต่หัวใจของเขายังคงติดอยู่ที่อิธากา
การช่วยเหลือจากเทพเจ้าบนโอลิมปัส
แม้ว่าโอดิสเซียสจะไร้ซึ่งอิสรภาพ แต่โชคชะตายังไม่ได้ทอดทิ้งเขา
บนยอดเขาโอลิมปัส เทพีอธีนา (Athena) ผู้เป็นผู้ปกป้องโอดิสเซียสมาตลอด ไม่อาจทนเห็นวีรบุรุษของเธอถูกกักขังอยู่ในความสิ้นหวังอีกต่อไป
เธอเข้าไปกราบทูล เทพซุส (Zeus) และขอให้เขา สั่งให้คาลิปโซปล่อยโอดิสเซียสเป็นอิสระ
เทพซุสเห็นด้วย เขาส่งเฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการสื่อสาร ไปยังเกาะของคาลิปโซเพื่อประกาศคำสั่งของเหล่าเทพเจ้า
คาลิปโซและการยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อเฮอร์มีสเดินทางมาถึง เขาพบคาลิปโซนั่งอยู่บนแท่นหินในถ้ำของเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า เธอรู้ดีว่าคำสั่งจากโอลิมปัส คือสิ่งที่เธอไม่สามารถขัดขืนได้
"เทพซุสมีพระบัญชาให้เจ้าปล่อยโอดิสเซียสไป คาลิปโซ เจ้าต้องให้เขาสร้างแพและออกเดินทางต่อไป"
คาลิปโซรู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือก เธอพยายามต่อรอง เธอขอร้องให้โอดิสเซียสอยู่ต่อ แต่เขาปฏิเสธอย่างอ่อนโยน
เธอรู้ว่า ความรักที่แท้จริงคือการปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
ด้วยความเจ็บปวดใจ คาลิปโซช่วยโอดิสเซียสสร้างแพ นางจัดเตรียมเสบียงให้เขา และอวยพรให้เขาปลอดภัยในการเดินทาง
"ข้ารักเจ้า โอดิสเซียส... แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถรักข้าได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้พบกับบ้านเกิดของเจ้าอีกครั้ง..."
บทสรุป: นักโทษแห่งความรักที่เป็นอิสระอีกครั้ง
โอดิสเซียสแล่นแพออกจากเกาะโอโจเจีย ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาว
เขาเป็นอิสระแล้ว
แต่... เส้นทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค
เขายังต้องต่อสู้เพื่อกลับไปสู่อ้อมกอดของเพเนโลปี และบททดสอบของเขายังไม่จบสิ้น
"ข้าจะกลับบ้าน... ไม่ว่าต้องเผชิญอะไรอีกก็ตาม"
และการเดินทางของเขาก็ดำเนินต่อไป...
กลับสู่อิธากา: ศัตรูใหม่ที่รออยู่
การเดินทางสุดท้าย: จากวีรบุรุษผู้ระหกระเหิน สู่กษัตริย์ผู้ถูกลืม
หลังจาก การเดินทางอันยาวนานกว่า 20 ปี โอดิสเซียสได้ผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งจากเทพเจ้า สัตว์ประหลาด และการหลอกลวงต่าง ๆ เขาเผชิญกับความตายมานับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขาตลอดมาคือ บ้านเกิดของเขา – อิธากา (Ithaca)
เขารอดจากคำสาปของโพไซดอน
เขาหนีจากเสน่ห์ของคาลิปโซ
เขาผ่านบททดสอบของไซเรนส์และแม่มดเซอร์ซี
และตอนนี้ ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงอิธากา
แต่สิ่งที่เขาพบ ไม่ได้เป็นบ้านเกิดที่อบอุ่นที่เขาฝันถึง
อิธากาในเงื้อมมือของเหล่าผู้ฉ้อฉล
เมื่อโอดิสเซียสก้าวขึ้นฝั่งอิธากา เขาแทบจำดินแดนของตัวเองไม่ได้
หมู่บ้านที่เคยสงบเงียบถูกปกคลุมด้วยความเสื่อมโทรม ผู้คนหวาดกลัว เหล่าขุนนางที่เคยเป็นข้ารับใช้ของเขากลายเป็นผู้ปกครองเมือง พวกเขาไม่ได้ภักดีต่อบัลลังก์อีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้แย่งชิงบัลลังก์แทน
เหล่าขุนนางมากมายรวมตัวกันในพระราชวังของเขา พวกเขาเชื่อว่าโอดิสเซียสตายไปแล้ว และไม่มีวันกลับมา พวกเขาใช้เวลาหลายปีในการจัดงานเลี้ยงอย่างฟุ่มเฟือย กินอาหารของพระราชวัง ดื่มเหล้าของเขา และที่สำคัญที่สุด – พวกเขาพยายามแย่งชิงภรรยาของเขา เพเนโลปี (Penelope)
เพเนโลปี: หญิงผู้ภักดีที่รอคอยอย่างสิ้นหวัง
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพเนโลปี ภรรยาผู้จงรักภักดีของโอดิสเซียส ถูกกดดันให้เลือกสามีคนใหม่ เหล่าขุนนางต่างแย่งกันเสนอตัวเป็นสามีของเธอ เพราะผู้ที่แต่งงานกับเธอจะได้ครอบครองอิธากาทั้งหมด
แต่เพเนโลปี ยังคงศรัทธาในคำสัญญาที่เธอให้ไว้กับสามีของเธอ
เธอใช้กลอุบายถ่วงเวลา โดยให้สัญญากับขุนนางว่าเธอจะเลือกสามีใหม่หลังจากเธอทอผ้าห่อศพของกษัตริย์ลาเอร์ทีส (Laertes) พ่อของโอดิสเซียสเสร็จ
"ข้าจะเลือกคู่ครองใหม่เมื่อข้าทอผ้าห่อศพของพ่อสามีข้าเสร็จสิ้น" นางกล่าว
แต่เธอมีแผนการ – ในเวลากลางวันเธอจะทอผ้า แต่ในเวลากลางคืนเธอจะแอบแก้ทอออก ทำให้ผ้าผืนนั้น ไม่มีวันเสร็จ
สามปีผ่านไป เธอสามารถรักษาสัญญาและปฏิเสธเหล่าขุนนางได้
แต่ในที่สุด ความลับของเธอถูกเปิดเผย
ขุนนางโกรธแค้นและบีบบังคับให้เธอต้องเลือกสามีใหม่ทันที เธอไม่มีทางเลือกนอกจากจัดการแข่งขันเพื่อหาผู้ที่เหมาะสมที่สุดเป็นสามีของเธอ
เธอประกาศว่า ผู้ที่สามารถยิงธนูของโอดิสเซียสผ่านห่วงสิบสองวงได้ จะเป็นผู้ชนะและได้เป็นกษัตริย์แห่งอิธากา
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการกลับมาทวงคืนอาณาจักรของโอดิสเซียส
โอดิสเซียสปลอมตัวเป็นขอทาน
แม้ว่าโอดิสเซียสจะกลับมาถึงบ้านเกิดของเขาแล้ว แต่เขารู้ดีว่าหากเขาเปิดเผยตัวตนทันที เขาจะถูกสังหารก่อนที่เขาจะสามารถทวงบัลลังก์คืนได้
ด้วยความช่วยเหลือของเทพีอธีนา (Athena) ผู้ปกป้องของเขา โอดิสเซียส ปลอมตัวเป็นชายชรา – ขอทานผู้อิดโรยและไม่มีพิษสง
"ข้าจะไม่ใช้กำลัง ข้าจะใช้ปัญญา"
เขาเดินเข้าไปในพระราชวัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของเหล่าขุนนาง
พวกเขาดูถูกเขา เหยียดหยามเขา และไม่มีใครเอะใจเลยว่า ชายขอทานคนนี้คือกษัตริย์แห่งอิธากา ผู้ที่พวกเขาเคยจงรักภักดีต่อเมื่อ 20 ปีก่อน
การแข่งขันธนู: บทพิสูจน์ของวีรบุรุษ
การแข่งขันยิงธูเริ่มต้นขึ้น ขุนนางแต่ละคนพยายามง้างธนูของโอดิสเซียส แต่ไม่มีใครทำได้ ธนูนั้นแข็งแกร่งเกินไป มันไม่ใช่อาวุธของมนุษย์ธรรมดา แต่มันเป็นอาวุธของวีรบุรุษ
"ไม่มีใครสามารถยิงลูกธนูผ่านห่วงสิบสองวงได้..." ขุนนางพากันบ่น
จนกระทั่ง...
"ให้ข้าลองเถิด" ขอทานผู้ชรากล่าว
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วทั้งท้องพระโรง พวกขุนนางเยาะเย้ยเขา คิดว่าเป็นเพียงความบ้าบิ่นของชายแก่ผู้ไร้ค่า
แต่แล้ว...
โอดิสเซียสจับคันธนูของเขาอย่างมั่นคง
ทุกสายตาจับจ้อง
เขาง้างสายธนูเบา ๆ
และปล่อยลูกศรออกไป
ลูกศรพุ่งทะลุผ่านห่วงทั้งสิบสองวงอย่างสมบูรณ์แบบ
การสังหารหมู่: การลงโทษเหล่าขุนนางที่ทรยศ
ความเงียบงันปกคลุมทั่วท้องพระโรง
และก่อนที่ใครจะทันได้ตอบสนอง โอดิสเซียสลุกขึ้นยืน เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา
"ข้าคือโอดิสเซียส กษัตริย์แห่งอิธากา และบัดนี้... บทลงโทษของพวกเจ้ามาถึงแล้ว!"
ลูกศรของเขาพุ่งออกไป ขุนนางคนแรกล้มลง เลือดไหลนองพื้น
ลูกศรดอกต่อไป พุ่งทะลุหัวใจของชายที่สอง
โอดิสเซียสและบุตรชายของเขา เทเลมาคัส (Telemachus) ร่วมมือกัน ต่อสู้กับขุนนางทรราชย์จนหมดสิ้น
"นี่คือบทลงโทษของพวกเจ้าที่กล้ากระทำชั่วต่ออาณาจักรของข้า!"
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วพระราชวัง เหล่าขุนนางพากันแตกตื่น วิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากการล้างแค้นของกษัตริย์ที่แท้จริงได้
การพบกันอีกครั้ง: เพเนโลปีและโอดิสเซียส
หลังจากทุกอย่างสงบลง โอดิสเซียสเดินไปหา เพเนโลปี
เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอไม่สามารถเชื่อได้ว่าเขาคือโอดิสเซียสจริง ๆ
เธอจึงใช้กลอุบาย โดยขอให้โอดิสเซียสอธิบายเกี่ยวกับเตียงสมรสของพวกเขา
"ไม่มีใครรู้ความลับของเตียงนั้น นอกจากข้าและเจ้า"
เมื่อโอดิสเซียสสามารถอธิบายได้อย่างถูกต้อง เพเนโลปีก็รู้ว่าเขาคือสามีที่แท้จริงของเธอ
เธอพุ่งเข้ากอดเขา น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
"เจ้ากลับมาแล้ว... ในที่สุดเจ้าก็กลับมา..."
และในที่สุด อิธากาก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
บทสรุป: วีรบุรุษผู้กลับบ้าน
โอดิสเซียสพิสูจน์ให้เห็นว่า ชัยชนะที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัญญา ความอดทน และความกล้าหาญ
หลังจาก 20 ปีแห่งการผจญภัย เขากลับมาสู่บ้านเกิดในฐานะกษัตริย์ที่แท้จริง และในที่สุด... เขาก็ได้พบกับความสงบสุขที่เขาเฝ้ารอ
บทสรุป: มหากาพย์แห่งปัญญาและความอดทน
มหากาพย์ โอดิสซีย์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของนักรบผู้หนึ่งที่กลับบ้าน แต่มันคือ บททดสอบของมนุษย์ ที่สะท้อนถึง ความเพียรพยายาม การใช้สติปัญญา และความอดทน ที่ไม่มีวันยอมแพ้ต่อโชคชะตา
การเดินทางของโอดิสเซียสใช้เวลากว่าสองทศวรรษ นับตั้งแต่วันที่เขาออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมสงครามโทรจัน จนถึงวันที่เขาเหยียบย่างกลับสู่อิธากา แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญระหว่างทางนั้นหนักหนายิ่งกว่าภัยสงครามที่เขาเคยต่อสู้มาเสียอีก
การเดินทางที่ยาวนานเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะทนไหว
สงครามจบลง แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อ
แม้ว่าโอดิสเซียสจะรอดชีวิตจากสงครามที่ทำลายเมืองทรอย แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ การที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หมายความว่าเขาได้รับชัยชนะ เพราะยังมี โชคชะตา และ บททดสอบแห่งทวยเทพ ที่เขาต้องฝ่าฟัน
"เจ้าอาจเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในสนามรบ แต่เจ้าจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของโชคชะตาได้หรือไม่?"
โอดิสเซียสต้องเผชิญกับ สิ่งที่ไม่มีดาบหรือโล่ใดสามารถป้องกันได้
- โพลีฟีมุส: ยักษ์ตาเดียวที่บีบให้เขาต้องเลือกใช้ปัญญาแทนพละกำลัง
- เซอร์ซี: แม่มดผู้มีอำนาจที่ทำให้เขาเข้าใจว่าความฉลาดและความอดทนสำคัญเพียงใด
- ไซเรนส์: สิ่งล่อลวงที่เกือบทำให้เขาสูญเสียตัวเอง
- คาลิปโซ: เทพธิดาผู้ให้เขาทุกสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา ยกเว้นอิสรภาพ
เขาไม่เคยแพ้ในสนามรบ แต่เขาต้องต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น นั่นคือกาลเวลา ความสิ้นหวัง และการรอคอยที่ยาวนาน
วีรบุรุษที่ชนะศัตรูด้วยปัญญา
โอดิสเซียสเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานกรีก เขาไม่ได้เป็นเพียงนักรบผู้แข็งแกร่ง แต่เขาเป็นวีรบุรุษที่ใช้ปัญญาเหนือกำลัง
เขารอดพ้นจากศัตรูทุกตน เพราะเขาไม่ใช่คนที่พึ่งพาความรุนแรงอย่างเดียว
- เขาหลอกล่อโพลีฟีมุส ด้วยการให้มันเมาและใช้ชื่อปลอม
- เขาเอาชนะเซอร์ซี ด้วยสมุนไพรที่เฮอร์มีสให้และปัญญาของเขา
- เขาต่อต้านไซเรนส์ ด้วยการเตรียมตัวล่วงหน้าและควบคุมตัวเอง
- และในที่สุด เขาปลอมตัวเป็นขอทาน เพื่อล้างแค้นเหล่าขุนนางที่ทรยศเขา
ทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญกับปัญหา เขาใช้สติปัญญาของเขาเพื่อเอาชีวิตรอดเสมอ
ความอดทน: คุณสมบัติของผู้ที่คู่ควรกับชัยชนะ
แต่ปัญญาเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้เขารอดชีวิตได้ หากเขาไม่มี ความอดทน โอดิสเซียสต้องเผชิญกับการรอคอยและความสูญเสีย
"เขาไม่สามารถหาทางลัดเพื่อกลับบ้านได้ เขาต้องเดินทางผ่านทุกบททดสอบที่โชคชะตากำหนด"
- เขารอคอยเจ็ดปีบนเกาะของคาลิปโซ แม้จะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
- เขาถูกพายุซัดจนต้องเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- เขาใช้เวลา 20 ปีเพื่อกลับบ้าน แต่ก็ยังต้องอดทนรอคอยโอกาสที่เหมาะสมเพื่อเปิดเผยตัวตน
และในท้ายที่สุด ความอดทนของเขานำพาเขาสู่ชัยชนะ
บทเรียนจากโอดิสเซียส: วีรบุรุษที่แท้จริง
- ชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ปัญญาจะนำพาเราไปสู่จุดหมาย
โอดิสเซียสไม่เคยชนะเพราะพละกำลังเพียงอย่างเดียว แต่เขาชนะเพราะเขาคิดก่อนลงมือทำเสมอ
"บางครั้ง การเป็นผู้แข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงการใช้กำลัง แต่หมายถึงการรู้ว่าเมื่อใดควรอดทน และเมื่อใดควรต่อสู้"
- ความอดทนสำคัญไม่แพ้ความสามารถ
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มักมาพร้อมกับการรอคอยที่ยาวนาน ถ้าโอดิสเซียสใจร้อน หรือยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขาคงไม่มีวันกลับไปหาเพเนโลปีและบุตรชายของเขาได้
"บางครั้ง การรอคอยคือบททดสอบที่โหดร้ายที่สุด แต่ถ้าเราผ่านมันไปได้ เราจะพบกับสิ่งที่เราปรารถนามากที่สุด"
- แม้แต่ฮีโร่ก็ต้องเผชิญกับการล่อลวง
โอดิสเซียสไม่ได้เป็นเพียงนักรบ เขาคือมนุษย์ที่มีจุดอ่อน มีความหวัง มีความกลัว และมีความปรารถนา
- เขาต้องต้านทานเสียงของไซเรนส์ ที่ล่อลวงให้เขากระโดดลงทะเล
- เขาต้องปฏิเสธชีวิตนิรันดร์ที่คาลิปโซมอบให้
- เขาต้องไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง
"แม้แต่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็มีจุดอ่อน แต่ผู้ที่คู่ควรกับชัยชนะ คือผู้ที่รู้ว่าต้องต่อสู้กับมันอย่างไร"
ตำนานที่ไม่มีวันเลือนหาย
เรื่องราวของโอดิสเซียสถูกเล่าขานมานับพันปี เพราะมันเป็นเรื่องราวของมนุษย์ทุกคน
ทุกคนล้วนมีการเดินทางของตัวเอง
ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับบททดสอบที่ทำให้พวกเขาต้องเลือก
และทุกคนต้องตัดสินใจว่า จะเดินหน้าต่อไป หรือจะยอมแพ้
"โอดิสเซียสไม่ใช่แค่เรื่องราวของนักรบในตำนาน แต่เป็นเรื่องราวของพวกเราทุกคนที่ต้องต่อสู้เพื่อเป้าหมายของตัวเอง แม้จะต้องใช้เวลาเท่าใดก็ตาม"
สุดท้ายแล้ว โอดิสเซียสไม่ใช่เพียงวีรบุรุษของกรีกโบราณ แต่เขาคือสัญลักษณ์ของมนุษย์ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา
และตำนานของเขาจะไม่มีวันเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์...
















