จากข้อมูลพบว่า 10 วันแรกของปีนี้ คนรวยที่มีเพียง 1% ของโลก ใช้คาร์บอนของปีนี้ไปครบแล้ว
จากรายงานพบว่า วันที่ 10 มกราคม 2025 คือวันที่เหล่าคนรวย 1% ของโลก ได้ใช้ส่วนแบ่งทางคาร์บอนของพวกเขาไปจนหมดแล้ว พูดง่ายๆ คือในเวลา 10 วันแรกของปีพวกเขาใช้ปริมาณคาร์บอนที่ควรใช้ใน 1 ปีหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าก๊าซคาร์บอนเป็นส่วนหนึ่งของภาวะโลกร้อนอย่างมีนัยยะสำคัญ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่เรียกว่าก๊าซเรือนกระจก มันเกิดจากการผลาญพลังงาน เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน เป็นต้น ความเลวร้ายคือมันสามารถอยู่บนชั้นบรรยากาศได้นานกว่า 10,000 ปี
ขณะที่เมโสโปเตเมีย อารยธรรมแรกของมนุษย์ มีอายุราว 5,500-6,000 ปีเท่านั้นเอง จากข้อมูลของ UNEP การที่เราจะสามารถจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ทุกคนบนโลกจะต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไม่เกิน 2.1 ตันต่อปี ทว่า Oxfam องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในอังกฤษได้วิเคราะห์ข้อมูลและค้นพบว่าคนรวยในระดับท็อป 1% ของโลก (77 ล้านคน) ซึ่งมีรายได้เกิน 140,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (5 ล้านบาทต่อปี) ได้ปล่อยคาร์บอนเกินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว
ที่น่าตกใจคือปริมาณขนาดนี้คนยากจนระดับ 50% ล่างของโลกสามารถใช้ได้ 3 ปีเลยทีเดียว ปริมาณมหาศาลดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมต่างๆ ของบุคคลเหล่านั้น เช่น การใช้ยานพาหนะ การใช้พลังงานในบ้าน เป็นที่รู้กันว่ายิ่งเรามีเงินก็ยิ่งมีสิ่งของ มีอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งของเหล่านั้นก็ต้องใช้พลังงานมากตาม ความโหดร้ายคือคนระดับล่าง 50% ของโลกที่ปล่อยคาร์บอนเพียงธุลีดินนี่เองจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่าคนทุกชนชั้น ซึ่งส่วนมากประเทศยากจนมักอยู่ในพื้นที่เขตร้อน ทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทนกับความร้อน ทั้งพวกเขายังไม่มีทรัพยากรที่จะแก้ไขหรือพื้นที่ให้อพยพ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปใหญ่
ข้อมูลจาก Oxfam ระบุเพิ่มว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา คนรวยท็อป 1% นี้อาจเป็นสาเหตุให้มีผู้คนเสียชีวิตจากคลื่นความร้อนถึง 1.3 ล้านคน อีกด้าน ข้อมูลงานวิจัยจาก statista เว็บไซต์เก็บสถิติจากงานวิจัยชั้นนำเผยว่าตั้งแต่ปี 1960 มนุษย์มีการปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 3.11 ตันต่อคนต่อปี และล่าสุดในปี 2023 เราปล่อยคาร์บอน 4.7 ตันต่อคนต่อปี ทำให้หนทางที่จะเข้าใกล้ตัวเลข 2.1 ตันนั้นดูเป็นเรื่องยากมาก แม้จะเป็นชนชั้นกลางก็ตาม การลดคาร์บอนในปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ดีขั้นเลย โดยเฉพาะเหล่าคนรวยระดับนั้นที่ทุกกิจกรรมต้องอาศัยการใช้พลังงาน แม้จะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราต้องยึดถือคือความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งโลกเราจะดีขึ้นได้ และเราก็สามารถมีส่วนช่วยเรื่องนี้ได้