โศกนาฏกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา คดีที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก!!
เสียงกรีดร้องและเสียงมีดพร้าที่ตัดผ่านเนื้อเงียบงันในค่ำคืนของเดือนเมษายน ปี 1994 ประเทศเล็กๆ ในแอฟริกากลางอย่างรวันดา กลายเป็นนรกบนดินในพริบตา เมื่อความขัดแย้งที่สะสมมาหลายสิบปีระเบิดออกมาในรูปแบบของการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 800,000 คนในเวลาเพียง 100 วัน ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดและความโหดร้ายที่ไม่อาจลืมเลือนไว้ให้โลกได้จดจำ
ต้นเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันเป็นเหมือนถังน้ำมันที่ถูกจุดไฟช้าๆ ความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มชาติพันธุ์หลักในรวันดา คือ
ฮูตู (Hutu): ชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
ทุตซี (Tutsi): ชนกลุ่มน้อยที่เคยปกครองประเทศในยุคอาณานิคม
ในยุคที่รวันดาถูกปกครองโดยอาณานิคมเบลเยียม กลุ่มทุตซีได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำ ทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มฮูตู ซึ่งสะสมความคับแค้นจนถึงจุดเดือด เมื่อประเทศได้รับเอกราชในปี 1962 กลุ่มฮูตูขึ้นมามีอำนาจและเริ่มกดขี่กลุ่มทุตซีเพื่อแก้แค้น
วันที่ 6 เมษายน 1994 การเสียชีวิตของประธานาธิบดี Juvenal Habyarimana (ชาวฮูตู) ในเหตุการณ์เครื่องบินถูกยิงตก กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลุ่มหัวรุนแรงฮูตูอ้างว่ากลุ่มทุตซีเป็นผู้ก่อเหตุ และปลุกระดมให้ประชาชนลุกขึ้นมาสังหารทุตซี
ในเวลาเพียง 100 วัน ประเทศรวันดากลายเป็นสถานที่แห่งความตาย ผู้คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยอาวุธง่ายๆ เช่น มีดพร้า กระบอง และปืน ไม่มีการละเว้นชีวิตไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา
ภาพที่สะเทือนใจมากที่สุดคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในหมู่บ้านที่ผู้คนถูกไล่ล่าเหมือนสัตว์ป่า หลายคนหลบหนีไปยังโบสถ์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกกลุ่มฮูตูเผาโบสถ์จนเป็นเถ้าถ่านพร้อมร่างผู้ลี้ภัยนับพัน
ผู้หญิงจำนวนมากถูกข่มขืนอย่างโหดร้ายก่อนจะถูกสังหาร มีรายงานว่าเหยื่อหลายแสนคนติดเชื้อ HIV จากการถูกล่วงละเมิดในครั้งนี้ และหลายชีวิตถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพเดิม
ในขณะที่โลกภายนอกเฝ้าดูด้วยความเฉยชา ผู้บริสุทธิ์ในรวันดาต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต บางครอบครัวถูกฆ่าทั้งบ้าน และเด็กๆ ถูกปล่อยให้กลายเป็นกำพร้าในดินแดนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ้นสุดลง ประเทศรวันดาก็เหลือแต่ความเสียหายที่ยากจะประเมินได้ ซากศพที่ทิ้งไว้ตามท้องถนนและหมู่บ้านถูกฝังรวมกันในหลุมศพขนาดใหญ่ บางแห่งกลายเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อเตือนใจคนรุ่นหลัง
ครอบครัวของเหยื่อหลายคนไม่สามารถลืมความโหดร้ายที่เกิดขึ้นได้ หลายคนยังคงฝันร้ายถึงภาพสุดท้ายของคนที่รัก และเสียงกรีดร้องในวันที่ชีวิตต้องดับสูญ
โศกนาฏกรรมในรวันดาคือเครื่องเตือนใจที่สำคัญว่าความเกลียดชังและอคติสามารถนำไปสู่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างไร มันเป็นบทเรียนที่โลกไม่ควรลืม..