ตำนานผีล้านนา : ผีสองนาง
ผีสองนาง กล่าวกันว่าเป็นเด็กสาวสองคนมีผมยาวประบ่า รูปร่างสวยงามมาก หากมีชายหนุ่มรูปงามเดินผ่านบริเวณที่นางสิงสถิตและเป็นที่พึงพอใจของนางทั้งสอง ก็จะปรากฏกายให้เห็น โดยเฉพาะในคืนวันขึ้นหรือแรม 15 ค่ำ เมื่อปรากฏกายแล้วจะสะกดให้ชายหนุ่มลุ่มหลงอยู่ในอำนาจ ด้วยปรารถนาเอาเป็นสามี ชายใดขาดสติเข้าร่วมอภิรมย์เสพสมอยู่กับนางจะได้รับการบำรุงบำเรอเอาอกเอาใจทำให้เกิดความลุ่มหลงจนลืมทุกอย่าง ทุกเวลาจะนอนนั่งเพ้อคลั่งอยู่บริเวณโคนต้นไม้นั้นรอวันที่จะมีคนมาพบและพากลับบ้าน หากไม่มีคนพบเห็น ชายโชคร้ายจะสิ้นใจตายด้วยผ่ายผอมและอ่อนเพลียในที่สุด โดยมีตำนานเล่าว่า
ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภูเขาของภาคเหนือของประเทศไทย มีเรื่องเล่าที่สะท้านขวัญเกี่ยวกับ "ผีสองนาง" ซึ่งเป็นตำนานที่เก่าแก่และน่าสยดสยอง เรื่องราวนี้ได้ถูกเล่าขานต่อกันมาหลายชั่วอายุคนเกี่ยวกับสองพี่น้องที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ด้วยความหึงหวงและความริษยา พวกเธอทั้งสองต้องพบกับจุดจบที่โหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวในป่าอันลึกลับ
สองพี่น้องชื่อนางน้อยและนางใหญ่ ทั้งสองมีความสวยงามและดึงดูดใจชายหนุ่มในหมู่บ้าน แต่ความสวยงามของพวกเธอกลับสร้างความขัดแย้งและอิจฉาระหว่างกัน นางใหญ่ซึ่งเป็นพี่สาวมักจะมองว่าเธอเป็นคนที่ควรได้รับความรักและการยอมรับจากทุกคน ขณะที่นางน้อย ซึ่งเป็นน้องสาวกลับรู้สึกว่าความสวยงามของเธอถูกมองข้ามอยู่เสมอ ทั้งสองพี่น้องจึงมีความริษยาและความเกลียดชังซึ่งกันและกัน แม้จะเป็นเลือดเนื้อเดียวกัน
วันหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ "จิตร" เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหางานทำ เขามีรูปร่างสูงสง่าและดวงตาที่เป็นประกายเยือกเย็น ทำให้สาวๆ ในหมู่บ้านต่างตกหลุมรัก แต่ชายหนุ่มนั้นกลับถูกใจนางน้อย ซึ่งทั้งสวยและมีรอยยิ้มที่อ่อนหวาน ทำให้ความริษยาของนางใหญ่ลุกโชนขึ้นในใจ
ในคืนนั้น นางใหญ่ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้ เธอหลอกล่อให้นางน้อยออกไปในป่าลึก โดยอ้างว่าจะพาไปหาสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย นางน้อยซึ่งไว้ใจพี่สาวอย่างหมดใจ จึงตามไปโดยไม่สงสัย แต่พอเดินไปไกลจากหมู่บ้าน นางใหญ่ก็หันกลับมาและทิ้งนางน้อยให้อยู่ในป่าลึกคนเดียว
ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงใบไม้ร่วง นางน้อยตระหนักถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ เธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในป่าที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่อมาในคืนนั้นเอง นางน้อยถูกสัตว์ป่าจับกินจนชีวิตของเธอได้สิ้นสุดลงในความเงียบสงัดของป่า
หลังจากนั้นไม่นาน นางใหญ่ได้รับข่าวการตายของนางน้อย แต่แทนที่จะรู้สึกผิดกลับรู้สึกโล่งใจว่าเธอได้เอาชนะน้องสาวผู้เป็นคู่แข่ง และสามารถได้ใจจิตร แต่สิ่งที่นางใหญ่ไม่รู้ก็คือ ความผิดที่เธอทำจะทำให้วิญญาณของนางน้อยไม่สามารถไปสู่สุขคติได้
และกลับกลายเป็นวิญญาณอาฆาตที่มีความแค้นลึกซึ้งจนไม่อาจปล่อยวางได้
นางใหญ่ไม่ได้รู้สึกผิดในตอนแรก หลังจากข่าวการตายของนางน้อยมาถึง หมู่บ้าน นางใหญ่กลับรู้สึกโล่งใจและยินดีในใจลึกๆ ว่าเธอได้กำจัดคู่แข่งของตัวเองไปแล้ว ด้วยความที่จิตร ชายหนุ่มที่เธอหลงรัก ได้เริ่มหันมาสนใจเธออย่างจริงจังหลังจากนางน้อยหายไป และท่าทีของจิตรก็ยิ่งแสดงออกถึงความสนใจในตัวนางใหญ่มากขึ้น ทำให้นางใหญ่ยิ่งมั่นใจว่าการที่นางน้อยหายไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้เธอได้ครอบครองหัวใจของจิตรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่สิ่งที่นางใหญ่ไม่รู้คือ ความผิดที่ได้กระทำไม่ใช่แค่ทำให้ชีวิตของนางน้อยสิ้นสุดลง แต่ยังทำให้วิญญาณของนางน้อยติดอยู่ในโลกนี้ ความแค้นของนางน้อยที่ไม่ได้รับการชำระกลับกลายเป็นอำนาจอาฆาตที่หลอมรวมกับความเจ็บปวดและการทรมานในขณะที่ยังคงติดอยู่ในป่าลึกนั้น
ในคืนหนึ่งที่มีพระจันทร์เต็มดวง นางใหญ่รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ ความรู้สึกแปลกๆ ได้เข้ามาครอบงำ ขณะที่เดินไปตามทางในหมู่บ้าน รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองมาที่ตัวเองจากมุมมืดของหมู่บ้านที่ไม่มีคนสัญจร เมื่อมองไปในทิศทางที่รู้สึกแปลกๆ ก็เห็นแสงสีแดงจากดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมาที่ตัวเองร่างบางๆ ที่ไม่มีใบหน้าอย่างมนุษย์ แต่กลับมีความสยดสยองมากกว่าที่คิด
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนางใหญ่ “มึงทำกูตายไปแล้ว แต่กูจะทำให้มึงต้องเจ็บปวดอย่างไม่รู้จบ!”
นางใหญ่หันไปหาทิศทางเสียง แต่ก็ไม่พบใคร นางใหญ่รู้สึกถึงการถูกจ้องมองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ในทันทีนั้นเอง ร่างของนางน้อยปรากฏขึ้นต่อหน้านางใหญ่ สภาพของนางน้อยดูแย่ไปมากจากความตาย ร่างกายของเธอผุพังเหมือนซากศพ และดวงตาของเธอเรืองแสงสีแดงส่องแสงออกมาแปลกประหลาดเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเจ็บปวดอย่างไม่สิ้นสุด
“มึงทำกูตายทั้งๆ ที่กูไม่ได้ทำอะไรผิด...ทำไมมึงถึงทิ้งกูให้ตายแบบนั้น!” นางน้อยพูดด้วยเสียงที่ต่ำและแหบแห้ง เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทุกที่รอบๆ ตัวนางใหญ่
“มึงต้องชดใช้!” เสียงวิญญาณของนางน้อยกระทบจิตใจนางใหญ่จนแทบจะล้มลงกับพื้น
ในช่วงเวลาเดียวกัน นางใหญ่เริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่พุ่งตรงมาหาเธอ เสียงใบไม้ปลิวและเสียงหมาป่าในป่าดังขึ้นเหมือนจะเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถหลบหนีได้ วิญญาณของนางน้อยไม่ได้หมดแรงจากความตาย แต่กลับกลายเป็นความอาฆาตที่มีพลังเหนือธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
นางใหญ่ร้องตะโกนและพยายามวิ่งหนี แต่ไม่ว่าทางไหนก็ถูกตัดขาดไปแล้ว วิญญาณของนางน้อยตามติดเธอไปทุกที่ ท่ามกลางความมืดและความเย็นยะเยือกนั้น นางใหญ่รู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังถูกดึงไปข้างหลังอย่างไม่สามารถต่อสู้ได้
“มึงจะไม่หลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้จนกว่ากูจะได้เอาคืนจากมึง!” วิญญาณของนางน้อยพูดด้วยเสียงแหลมและเยือกเย็น
นางใหญ่พยายามวิ่งไปข้างหน้า แต่ร่างของนางน้อยก็พุ่งเข้ามาขวางหน้า ร่างของนางน้อยที่ดูเหมือนจะอยู่ในโลกวิญญาณนั้นมีพลังดุจวิญญาณอาฆาตที่ไม่สามารถเอาชนะได้
“กูขอโทษ! กูผิดไปแล้ว...” นางใหญ่ร้องออกมา ทว่าเสียงร้องของเธอกลับไม่ได้ทำให้วิญญาณของนางน้อยอ่อนลงแม้แต่น้อย
“คำขอโทษของมึงมันสายไปแล้ว” วิญญาณของนางน้อยตอบเสียงเย็นชา ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นแล้วพุ่งพลังอาฆาตใส่นางใหญ่
ทันใดนั้นเอง นางใหญ่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมไปทั่วร่างกาย มันเหมือนกับว่าเส้นเลือดและกระดูกของเธอถูกดึงออกจากกันอย่างรวดเร็ว ร่างของเธอเริ่มอ่อนแรงและไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป
“กูจะทำให้มึงต้องทรมานไปตลอดไป!” วิญญาณของนางน้อยกล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะ
ร่างของนางใหญ่ก็ถูกนางน้อยลากไปยังป่าลึกที่เธอเคยทิ้งนางน้อยไปในวันนั้น วิญญาณของนางน้อยโกรธแค้นจนไม่มีที่ยืนในโลกนี้ นางน้อยจับร่างของนางใหญ่ไปผูกติดกับต้นไม้ใหญ่ในป่านั้น และทิ้งนางใหญ่ไว้ในสภาพที่ไม่ต่างจากความทรมานที่นางน้อยต้องเผชิญในชีวิตสุดท้าย
นางใหญ่ก็กลายเป็นหนึ่งในวิญญาณอาฆาตที่ติดอยู่ในป่าแห่งนั้น ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ป่านั้นเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศและชีวิตประจำวัน ทุกครั้งที่มีพระจันทร์เต็มดวง หรือคืนวันขึ้นแรม 15 ค่ำ ความเงียบสงัดในป่าลึกของภาคเหนือเริ่มถูกแทรกด้วยเสียงกระซิบของวิญญาณสาวสองนางที่กำลังแฝงตัวอยู่ในความมืด ร่างของนางใหญ่และนางน้อยจะปรากฏออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว และพวกเธอไม่เพียงแค่ปรากฏกายให้เห็นเท่านั้น แต่ยังใช้พลังเหนือธรรมชาติสะกดชายหนุ่มที่เดินผ่านไปในบริเวณที่พวกเธออาศัยอยู่ให้อยู่ในอำนาจของพวกเธอ
วิญญาณทั้งสองจะล่อลวงชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดีให้ลุ่มหลงในความงามของพวกเธอ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่โชคดี (หรือโชคร้าย) ที่หลงทางเข้าไปในเขตพื้นที่ที่พวกเธอสิงสถิตอยู่ ชายใดที่ถูกสะกดโดยพลังของนางทั้งสองจะไม่สามารถขัดขืนได้ ภาพลวงตาของความงามที่ไม่มีวันแก่ชราจะทำให้เขาหลงใหลจนลืมสิ่งต่างๆ รอบตัว ลืมแม้กระทั่งเรื่องราวในอดีตและครอบครัวของตนเอง
นางใหญ่และนางน้อยจะร่ายเวทมนตร์ให้ชายหนุ่มหลงใหล ราวกับอยู่ในโลกที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากความปรารถนาในกาม และพวกเธอจะค่อยๆ บำรุงบำเรอชายหนุ่มอย่างเอาอกเอาใจ ทำให้เขารู้สึกถึงความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ชายหนุ่มจะกลายเป็นเหมือนเครื่องมือที่ถูกควบคุมด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในตัววิญญาณของนางทั้งสอง
เขาจะนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ในป่าลึก ยิ่งนานวันยิ่งเพ้อคลั่ง บางครั้งเขาจะเห็นภาพของนางน้อยและนางใหญ่ปรากฏอยู่ใกล้ตัว ทำให้เขาหมดสติและไม่สามารถแยกแยะความจริงจากภาพลวงตาได้ ชายหนุ่มจะสูญเสียพลังชีวิตไปเรื่อยๆ จนร่างกายเริ่มผ่ายผอม และในที่สุดเขาจะล้มลงจากความอ่อนเพลีย เหมือนกับว่าไม่มีชีวิตอีกต่อไป
หากโชคดีที่มีคนผ่านมาพบเห็นชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพคลั่งไคล้และเงียบเหงา เขาจะได้รับการช่วยเหลือกลับไปยังหมู่บ้าน เพื่อได้รับการรักษาและฟื้นฟู แต่ถ้าไม่มีใครมาเห็นและช่วยเขาในเวลาที่เหมาะสม ชายหนุ่มนั้นจะจบชีวิตในความลุ่มหลง ไม่ต่างจากการจมดิ่งสู่ความมืดที่ไม่มีทางกลับ
ในบางกรณี ชายหนุ่มที่ถูกหลอกหลอนจะพบกับการตายที่แสนทรมานจากการขาดสติ ความอ่อนเพลียจากการไม่หลับไม่นอนร่วมกับนางทั้งสอง มันเหมือนกับการที่ชีวิตถูกดูดออกไปทีละน้อยๆ จนไม่เหลือแรงต่อสู้หรือหลุดพ้นจากพันธนาการของวิญญาณอาฆาต
เรื่องราวของผีนางน้อยและนางใหญ่กลายเป็นตำนานผีสองนางที่หลอกหลอนที่ทำให้ชาวบ้านระมัดระวังมากขึ้นในตอนกลางคืน โดยเฉพาะในคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง ทุกคนจะหลีกเลี่ยงการเดินผ่านป่าลึกนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยความกลัวว่าหากเข้าไปใกล้ อาจจะได้พบกับความลุ่มหลงและโชคชะตาที่ไม่มีทางหลีกหนีได้...