ตำนานผีล้านนา "ผีตาวอด"
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในภาคเหนือของประเทศไทย มีตำนานผีที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคนเกี่ยวกับ "ผีตาวอด" หรือบางท้องถิ่นเรียกว่า "ผีบ้าตาวอด" ซึ่งเป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายยักษ์ ผีตาวอดถูกเชื่อกันว่าเป็นอมนุษย์ครึ่งผีครึ่งยักษ์ที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนผีทั่วไป โดยเฉพาะในเรื่องของดวงตา แม้ว่าผีตาวอดจะดูเหมือนตาบอด แต่จริง ๆ แล้วมันสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ดี ทั้งที่ไม่มีแววตาที่แสดงถึงมนุษย์หรืออมนุษย์ทั่วไป ดวงตาของมันเป็นสีแดงเพลิงที่เรืองแสงแสดงถึงพลังที่เหนือธรรมชาติ
ในส่วนของรูปร่าง ผีตาวอดมีลำตัวที่สูงใหญ่และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงราวกับยักษ์ ปีกของมันอาจปรากฏเป็นเงาในบางครั้ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่ไม่สามารถตามได้ทัน ผิวหนังของผีตาวอดนั้นมักจะมีลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้หรือหินที่แข็งแกร่ง แต่ก็เต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลและรอยคล้ายขีดข่วน
สิ่งที่ทำให้ผีตาวอดน่าสะพรึงกลัวอีกประการหนึ่งคือถุงหรือย่ามขนาดใหญ่ที่มันพกติดตัวไปทุกที่ ถุงใบนี้มีขนาดใหญ่เท่ากระสอบข้าวสาร มักถูกใช้เพื่อใส่เหยื่อที่ผีตาวอดลักพาไป—โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่มักเล่นอยู่ตามลำพังในฤดูแล้ง
ฤดูแล้งเป็นช่วงเวลาที่ผีตาวอดมักออกมาล่าเหยื่อ เด็ก ๆ มักจะเล่นในทุ่งนาและไร่สวนที่ไม่มีคนสัญจรไปมา และในช่วงนี้ ดอกทองกวาวและดอกงิ้วจะบานสะพรั่งเผยสีส้มสดและสีแดงเพลิงที่ลอยอยู่บนพื้นดิน ซึ่งเป็นช่วงที่ผีตาวอดจะใช้เวลานี้แอบลักพาเด็ก ๆ โดยการจับเด็กที่เล่นอยู่ตามลำพังและมัดเท้าใส่ในถุงขนาดใหญ่ของมัน แล้วแบกเด็กขึ้นบ่าหายไปในป่า
คืนหนึ่งในฤดูแล้ง ชายหนุ่มชื่อ "สิงห์" ต้องออกไปตัดไม้ในป่าที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ขณะที่เขากำลังเดินลึกเข้าไปในป่า ความรู้สึกที่เคยสงบก็เริ่มเปลี่ยนไป เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงตัวอยู่ในความมืด ความเงียบสงัดของป่าเริ่มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแปลก ๆ ที่เหมือนจะดังก้องมาจากท่ามกลางหมอกหนา
เมื่อเขาหยุดและมองไปรอบ ๆ เขาเห็นเงาร่างของสิ่งหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ ร่างนั้นดูไม่ชัดเจนในความมืด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ ดวงตาที่เป็นสีแดงเรืองแสงของมัน มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่ธรรมดา สิงห์รู้ทันทีว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับผีตาวอด
ผีตาวอดเริ่มเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว โดยไม่ยอมหยุดจนเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ส่งผ่านจากร่างนั้น สิงห์เห็นว่าผีตาวอดสูงใหญ่และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงราวกับยักษ์ ดวงตาของมันไม่ได้แสดงถึงความเมตตาหรือมนุษยธรรม แต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติ
ผีตาวอดหัวเราะเสียงต่ำแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังก้องราวกับสะท้อนจากทุกทิศทาง "มึงมาทำไม...มึงอยากตายที่นี่เหรอ?" เสียงของมันเหมือนจะดังในหัวของสิงห์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้องจากทุกที่ แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่รอบข้าง
"มึงหนีไม่พ้นหรอก..." ผีตาวอดพูดเสียงแหบแห้ง "จะตายอยู่ที่นี่ หรือจะถูกกูลากไปเป็นอาหารของกู ก็อยู่ที่โชคชะตาของมึงแล้วล่ะ"
สิงห์รู้สึกขนลุกจนหนาวสั่นไปทั้งตัว พยายามจะวิ่งหนี แต่ว่าทุกเส้นทางที่เขาเลือกกลับวนกลับมาที่เดิม เขาพยายามร้องเรียกหาคนช่วย แต่เสียงของเขาก็ถูกดูดหายไปในความมืด ป่าแห่งนี้กลายเป็นเขาวงกตที่ไม่มีทางออก
ในที่สุด สิงห์ก็ได้รู้ว่าเขากำลังจะกลายเป็นเหยื่อของผีตาวอด ผีอมนุษย์ครึ่งยักษ์ที่คอยลักพาตัวเด็กและผู้ที่หลงเข้าไปในเขตอำนาจของมัน ผีตาวอดไม่เพียงแค่ลักพาเด็ก แต่ยังทำให้เหยื่อของมันไม่สามารถหลบหนีไปได้ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าแห่งนี้ไปตลอดกาล
แต่ในขณะที่ผีตาวอดกำลังจะเข้ามาหาสิงห์เพื่อพาเขาไปสู่ความตาย เสียงปืนดังขึ้นจากที่ไกล ๆ เป็นเสียงที่ทรงพลังและคมชัด เสียงนั้นทำให้ผีตาวอดหันไปมองอย่างตกใจ และในเวลาเดียวกัน สิงห์ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนตะโกนดังขึ้น "ออกไปจากเขา!"
ชายแก่คนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากเงามืด เขาเป็นพรานป่าวัย 60 ปี ซึ่งมีประสบการณ์ในป่ามานานนับสิบปี สวมเสื้อผ้าแข็งแรงสีหม่นที่เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็น และกางเกงที่ทำจากผ้าหนาเหมาะกับการเดินป่า ผิวของเขาคล้ำแดดแต่มีลักษณะสงบและหนักแน่น รอยยิ้มที่มุมปากแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ดวงตาของเขาคมกล้าเหมือนแหลมคมของเหล็ก มีแววของความรู้และความทรหดในตัว
พรานป่าคนนี้มีกระเป๋าของอาคมที่เต็มไปด้วยของสำคัญ เขามีคาถาและอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่ใช้ในการปกป้องตนเองจากวิญญาณร้าย และเขาก็พร้อมที่จะใช้พลังนั้นทันทีเพื่อจัดการกับผีตาวอด เขายกปืนยาวขึ้นไปในอากาศแล้วเปล่งเสียงคาถาออกมาด้วยท่าทางมั่นคง
"วิชาอาคมที่มีอยู่ในมือกู จะทำให้มึงหายไปจากที่นี่!" เสียงของเขาดังขึ้นด้วยความมั่นใจ
ผีตาวอดหันกลับไปมองพรานป่าด้วยท่าทางโกรธเคือง แต่มันไม่กล้าก้าวเข้ามาหาอีกครั้ง พรานป่ามีอำนาจเหนือมันจากการใช้คาถาอาคมที่ทำให้ผีตาวอดกลัว
"มึงจะอยู่ในที่นี้ไม่ได้!" พรานป่าพูดเสียงดัง เขาเริ่มเดินเข้าหาผีตาวอด และปืนยาวในมือถูกยกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการเปล่งคาถาอาคมที่ทรงพลังมากขึ้น
ผีตาวอดคำรามเสียงดัง ก่อนที่จะเริ่มหดตัวลงและหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
"มึงไม่เป็นไรใช่ไหม?" ชายแก่หันมาถามสิงห์ พร้อมกับยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
"ขอบคุณมากครับ..." สิงห์ตอบเสียงสั่นด้วยความรู้สึกขอบคุณที่รอดชีวิตมาได้
ชายแก่พยักหน้าและหันหลังกลับไป "ไปกันเถอะ เราต้องออกจากที่นี่เร็ว ๆ"
ทั้งสองเดินออกจากป่าไปพร้อมกัน ชายแก่คนนี้ดูเหมือนจะรู้ทางในป่าอย่างดี เขาพาไปตามเส้นทางที่มองไม่เห็นจากสายตาของคนทั่วไป สิงห์ไม่เคยลืมคืนที่เขาเกือบต้องตกเป็นเหยื่อของผีตาวอด ทั้งชีวิตของเขาอีกเลย