สหภาพยุโรปบังคับใช้กฏหมายเกี่ยวกับ "สายชาร์จสากล" อย่างเป็นทางการ โดยบังคับใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่
เป็นการรายงานข่าวมาจากสำนักข่าวเอเอฟพีจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวานนี้ (29 ธันวาคม 2567) ว่าสหภาพยุโรป (อียู) บังคับใช้กฎระเบียบใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งกำหนดให้สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และกล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่ ต้องใช้สายชาร์จแบบเดียวกัน นับเป็นความเคลื่อนไหวที่ฝ่ายบริหารอียูในกรุงบรัสเซลส์ ระบุว่าจะช่วยลดต้นทุนและปริมาณขยะได้ โดยขณะนี้ บรรดาผู้ผลิตต้องติดตั้งพอร์ตชาร์จแบบ “ยูเอสบี-ซี” (USB-C) ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำหน่ายในประเทศสมาชิกอียู หลังจากอียูกำหนดให้พอร์ตดังกล่าว เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กล้องดิจิทัล หูฟัง ลำโพง คีย์บอร์ด และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ รุ่นใหม่ทั้งหมดที่จำหน่ายในอียู จะต้องติดตั้งพอร์ตชารจ์แบบ USB-C รัฐสภายุโรป (อีพี) ระบุในแถลงการณ์บนสื่อสังคมออนไลน์เอ็กซ์ นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ยังให้เหตุผลว่า กฎระเบียบสายชาร์จแบบเดียว จะทำให้ชีวิตของชาวยุโรปง่ายขึ้น และลดต้นทุนสำหรับผู้บริโภค โดยคาดว่าจะช่วยประหยัดเงินอย่างน้อย 200 ล้านยูโรหรือประมาณ 7,100 ล้านบาท อีกทั้งการอนุญาตให้ผู้บริโภคซื้ออุปกรณ์ใหม่ โดยไม่ต้องใช้ตัวชาร์จอันใหม่ จะช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ของกลุ่ม ได้มากกว่า 1,000 ตันต่อปีด้วย โดยกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติครั้งแรกเมื่อปี 2565 หลังเกิดการโต้เถียงระหว่างอียู กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐอย่าง แอปเปิล ซึ่งอียูอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ ปรับตัวจนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่วนผู้ผลิตโน้ตบุ๊กจะมีเวลาเพิ่มเติม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2569 ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่