โมเฮนโจ-ดาโร เมืองโบราณ แห่งลุ่มน้ำสินธุ
โมเฮนโจ-ดาโร แปลว่า เนินของคนตาย เป็นโบราณสถานในแคว้นสินธ์ ประเทศปากีสถาน ถูกสร้างประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุโบราณ และหนึ่งในเมืองยุคแรกสุดของโลก คู่กับอารยธรรมอียิปต์โบราณ, เมโสโปเตเมีย, ไมนอส และการัล เมื่ออารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุสิ้นสุดลง โมเฮนโจ-ดาโร ก็ถูกทิ้งไปในศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสตกาล และไม่มีใครพบอีกเลยจนกระทั่งคริสตทศวรรษที่ 1920 และกลายเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกใน ค.ศ. 1980ปัจจุบัน บริเวณมีความเสี่ยงจากการสึกกร่อน และการบูรณะที่ไม่ถูกต้อง
ไม่มีใครทราบถึงชื่อเดิมของเมือง จากการวิเคราะห์ตราของโมเฮนโจ-ดาโร อิราวตัม มหาเทวัน (Iravatham Mahadevan) คาดการณ์ว่า ชื่อเก่าของเมืองนี้คือ กุกกุตารมะ (Kukkuṭārma "เมือง [-รมะ] ของไก่ตัวผู้ [กุกกุตะ]") การแข่งไก่ชน อาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาของเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยไก่ที่ใช้ในทางศาสนามากกว่าอาหาร โมเฮนโจ-ดาโร อาจเป็นจุดกระจายของการเลี้ยงไก่บ้านทั่วโลก
ชื่อปัจจุบันของโมเฮนโจ-ดาโรมาจากการตีความหลายแบบ เช่น "เนินของคนตาย" ในภาษาสินธี และ "เนินของโมฮัน" (โมฮัน คือพระกฤษณะ)
ที่ตั้งสถานที่สำคัญ และสันนิษฐาน ของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ รวมไปถึงที่ตั้งของโมเฮนโจ-ดาโร
โมเฮนโจ-ดาโร ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสินธุ ในอำเภอลาร์กานะฮ์, แคว้นสิทธ์, ประเทศปากีสถาน ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างแม่น้ำสินธุกับแม่น้ำฆักการ์-ฮักรา (Ghaggar-Hakra River) ตัวเมืองตั้งอยู่ในที่ราบน้ำท่วมถึงของลุ่มแม่น้ำสินธุ ห่างจากเมืองลาร์กานะฮ์ไปประมาณ 28 กิโลเมตร (17 ไมล์) บริเวณสันเขาเคนเป็นที่โดดเด่นในอดีต เพราะสามารถป้องกันเมืองจากน้ำท่วม แต่หลังจากท่วมหลายครั้ง ทำให้สันเขาส่วนใหญ่จมลงไปในชั้นตะกอน แม่น้ำสินธุยังคงไหลในฝั่งตะวันออกของบริเวณนี้ แต่ทางที่แม่น้ำฆักการ์-ฮักราไหลผ่านในฝั่งตะวันตก ปัจจุบันแห้งสนิท
โมเฮนโจ-ดาโร ถูกสร้างในศตวรรษที่ 26 ก่อนคริสตกาล โดยเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุด ในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุโบราณ ที่รู้จักกันในชื่อ อารยธรรมฮารัปปา ซึ่งพัฒนาประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ในช่วงสูงสุด อารยธรรมสินธุขยายไปไกล ทั่วปากีสถานและอินเดีย โดยฝั่งตะวันตก ถึงชายแดนประเทศอิหร่าน ทางใต้ ถึงรัฐคุชราตของอินเดีย และทางเหนือถึงด่านนอกที่แบกเตรีย ที่มีใจกลางเมืองที่สำคัญ อยู่ที่ฮารัปปา, โมเฮนโจ-ดาโร, โลธาล, คาลิบันกาน, โธฬาวีรา (Dholavira) และราคิการ์ฮี (Rakhigarhi) โมเฮนโจ-ดาโร เป็นเมืองที่พัฒนาที่สุดในเวลานั้น เพราะมีระบบวิศวกรรมโยธา และการผังเมืองที่ซับซ้อน เมื่ออารยธรรมสินธุล่มสลายประมาณ 1900 ปีก่อนคริสตกาล โมเฮนโจ-ดาโรก็ถูกทิ้งไป
นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า น้ำท่วมครั้งสุดท้าย ทำให้ตัวเมืองจมลงไปในโคลน เป็นสาเหตุให้ต้องทิ้งเมืองไป
โมเฮนโจ-ดาโร มีภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตร้อน (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน BWh) ที่มีฤดูร้อนสูงมากและมีฤดูหนาวอ่อน ๆ อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกอยู่ที่ 53.5 องศาเซลเซียส (128.3 องศาฟาเรนไฮต์) และอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีการบันทึกคือ −5.4 องศาเซลเซียส (22.3 องศาฟาเรนไฮต์) บริเวณนี้ไม่ค่อยมีฝน แต่จะมีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–กันยายน) ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีของโมเฮนโจ-ดาโร อยู่ที่ 100.1 มม. และมักเกิดในฤดูมรสุม ใน ค.ศ. 1994 มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีสูงสุดอยู่ที่ 413.1 มม. และใน ค.ศ. 1987 มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีน้อยสุดอยู่ที่ 10 มม.